ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมควบคุมโรค เผยปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปี 2567 พบกลุ่มคนท้องและนักท่องเที่ยวติดเชื้อไวรัสซิกาจำนวนมาก เตือน! ป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงลายกัด อาจป่วยเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซิกา สามารถส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ศีรษะเล็ก-พัฒนาการช้า  

วันนี้ (5 มกราคม 2567) นพ.ธงชัย กีรติหัตยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นฤดูหนาวของประเทศไทย แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีอากาศเย็นมากนัก ยุงลายที่เป็นพาหะนำ 3 โรคยังสามารถขยายพันธุ์ได้ คือ

  • โรคไข้เลือดออก ปีที่ผ่านมาพบผู้ป่วย 153,734 ราย เสียชีวิต 181 ราย
  • โรคปวดข้อยุงลาย พบผู้ป่วย 1,371 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต

โรคติดเชื้อไวรัสซิกาในปีที่ผ่านมาพบผู้ป่วย 758 ราย ในจำนวนนี้เป็นหญิงตั้งครรภ์ 33 ราย ที่น่าเป็นห่วงคือผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์จะส่งผลให้ทารกที่คลอดออกมามีความผิดปกติศีรษะเล็ก หรือพิการแต่กำเนิด เป็นภาระของครอบครัว ซึ่งโรคนี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศแอฟริกาและเคยพบประปรายในประเทศไทยหลายปีก่อน ปีที่ผ่านมามีรายงานพบทารกศีรษะเล็กยืนยันติดเชื้อไวรัสซิกา 13 ราย  

ทั้งนี้ ในระยะ 4 สัปดาห์ล่าสุด พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสซิกามากที่สุด ในกรุงเทพมหานคร (40 ราย) ตามด้วยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (13 ราย) อีกทั้งยังพบผู้ป่วยในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันและเนเธอร์แลนด์ที่กลับจากเกาะสมุยจำนวน 3 ราย 

นพ.ธงชัย กล่าวต่อว่า ขอแนะนำประชาชนว่าวิธีป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสซิกาที่ดีที่สุดคือการป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงลายกัด โดยการนอนในมุ้งหรือห้องที่ติดมุ้งลวด จุดยากันยุง หรือทาโลชั่นกันยุง และเก็บกวาดสถานที่ไม่ให้มีน้ำขังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และเนื่องจากพบนักท่องเที่ยวป่วย จึงขอแนะนำผู้ประกอบการเจ้าของสถานที่พักแรม เช่น โรงแรม รีสอร์ท ที่รับนักท่องเที่ยวเข้าพัก ควรจัดการที่พักของตนเองให้ปลอดจากยุงลาย โดยจัดการสิ่งแวดล้อมไม่ให้ยุงลายมีที่วางไข่ กำจัดภาชนะกักเก็บน้ำชนิดต่างๆ รวมไปถึงขยะเศษภาชนะ กล่องโฟม จานรองกระถางต้นไม้ หรือกาบใบไม้ใหญ่ๆ เป็นประจำทุกสัปดาห์ รวมทั้งแจกยาทากันยุงชนิดซอง หรือสเปรย์พ่นยุงในห้องพักด้วย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสซิกาส่วนใหญ่ อาการไม่รุนแรง ผู้ติดเชื้อ มีอาการไข้ ร่วมกับผื่นแดงตามร่างกาย ตาแดง ปวดกล้ามเนื้อ และปวดข้อ หากสงสัย ให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ และหากพบว่าตนเองป่วยเป็นโรคไวรัสซิกา ควรปฏิบัติตัวเพิ่ม 3 ประการ คือ ทายากันยุงวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน และงดเว้นการเดินทางออกนอกพื้นที่เป็นเวลา 14 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงกัดแล้วนำเชื้อไวรัสไปให้คนรอบตัว และเนื่องจากพบว่าเชื้อไวรัสนี้สามารถอยู่ในสารคัดหลั่งของผู้ชายได้ จึงควรใช้ถุงยางอนามัยเป็นเวลา 3 เดือนหากมีเพศสัมพันธ์ ขอสื่อสารไปยังประชาชนว่าโรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยมาตรการเดียวกันกับโรคไข้เลือดออก และกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญ คือ หญิงตั้งครรภ์ และคู่สมรสที่วางแผนจะมีบุตร ต้องป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422