ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ศิริราชจัดครบรอบ 15 ปี นมเนื้อไก่ และครบรอบ 5 ปี นมข้าวอะมิโน ผลสำเร็จครั้งแรกของโลก ช่วยทารกเติบโตปกติ หายจากโรคแพ้โปรตีนนมวัวใน 2 ปี เผยแต่ละปีมีทารกเกิดใหม่แพ้โปรตีนนมวัวประมาณ 25,000 ราย หรือ 3% ของทารกเกิดใหม่ในแต่ละปี 

7 พ.ย.57 ผศ.นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เป็นประธานเปิดงานชุมนุมเด็กแพ้โปรตีนนมวัว ครั้งที่ 1 ในโอกาสครบรอบ 15 ปี ของการผลิตนมจากเนื้อไก่ และครบรอบ 5 ปี ของการผลิตนมข้าวอะมิโน เพื่อรักษาทารกไทยที่แพ้โปรตีนนมวัว ณ ห้องตรีเพ็ชร อาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์  ชั้น 15  รพ.ศิริราช              

งานชุมนุมเด็กแพ้โปรตีนนมวัว ครั้งที่ 1 จัดโดยศูนย์รักษาทารกแพ้โปรตีนนมวัวแห่งประเทศไทย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อให้ผู้ปกครองสมาชิกเด็กที่ดื่มนมเนื้อไก่หรือนมข้าวอะมิโนรับความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์โรคดังกล่าว และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการดูแลลูกน้อย รวมถึงการแสดงและพูดคุยกับเด็กที่ดื่มนมทั้ง 2 ชนิดนี้  

ศ.นพ.พิภพ จิรภิญโญ สาขาวิชาโภชนาการ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ผู้คิดค้นและผลิตนมจากเนื้อไก่และนมข้าวอะมิโนรักษาทารกแพ้โปรตีนนมวัวสำเร็จเป็นแห่งแรกของโลก เปิดเผยว่า นมทั้ง 2 ชนิดนี้ มีคุณค่าสารอาหารครบถ้วน ย่อยง่าย และดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดี เด็กทารกเหล่านี้มีการเจริญเติบโตเป็นปกติ และส่วนใหญ่จะหายจากโรคแพ้โปรตีนนมวัวภายใน 2 ขวบปี โดยที่ปัจจุบันโรคแพ้โปรตีนนมวัวในเด็กมีแนวโน้มสูงมากขึ้น เนื่องจาก อาจเป็นเพราะพ่อหรือแม่ของเด็กเหล่านี้เป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น หรืออาจเป็นเพราะว่ามีการใช้นมผงมาแทนนมแม่ในการเลี้ยงลูก การจัดงานครั้งนี้จะช่วยให้เด็กกลุ่มนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งผู้ปกครองจะหมดความกังวลใจกับสุขภาพของบุตรหลาน   

ศ.นพ.พิภพ กล่าวต่อว่า ปัญหาสำคัญในการรักษาเด็กกลุ่มนี้คือ ต้องรักษาด้วยนมผงชนิดพิเศษ ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และมีราคาสูง โดยนมที่ใช้รักษานี้มี 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 มีโปรตีนนมวัวที่ย่อยละเอียด ราคา 500 บาท ต่อ 1 กระป๋องปอนด์ และหากเด็กแพ้นมชนิดนี้ ก็ต้องรักษาด้วยนมกรดอะมิโนซึ่งคือ กลุ่มที่ 2 ที่มีราคาแพงมากคือ ราคา 1,500 บาท ต่อ 1 กระป๋องปอนด์ โดยทารกจะต้องดื่มนมเหล่านี้ประมาณ 12 เดือน จึงจะค่อยๆ หายจากโรคนี้

“ปัญหาที่เกิดขึ้น จะทำอย่างไรให้เด็กไทยได้ดื่มนมที่มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม ถ้าใช้นมกลุ่มที่ 1 ผู้ปกครองจะต้องเสียเงินซื้อนมนี้มากกว่าปกติ 2 เท่า โดยปกติทารกจะดื่มนมประมาณ 7 กระป๋องปอนด์ต่อเดือน และถ้าใช้นมกลุ่มที่ 2 ผู้ปกครองจะต้องเสียเงินซื้อนมมากกว่าปกติถึง 7 เท่า โดยเฉลี่ยทั้ง 2 กลุ่ม จะดื่มนมที่ใช้รักษา ประมาณ 12 เดือน ยิ่งกว่านั้นจนถึงขณะนี้มีทารกมากกว่า 50 ราย ที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชแพ้นมทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 จึงไม่มีนมใดๆ ที่จะรักษาได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงคิดค้นและผลิตนมจากเนื้อไก่และนมข้าวอะมิโน เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องราคาและการแพ้นมทุกชนิดของต่างประเทศ”

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องพ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่รู้ว่าบุตรหลานของตนเป็นโรคแพ้โปรตีนนมวัว ซึ่งโรคนี้เกิด จากเด็กไม่สามารถรับโปรตีนที่มีอยู่ในนมวัวได้ พบอุบัติการณ์ประมาณร้อยละ 3 ของทารกแรกเกิด โดยที่ประเทศไทยมีทารกแรกเกิดปีละ 800,000 ราย จะพบโรคนี้ได้ประมาณปีละ 25,000 ราย และเมื่อรวมกับจำนวนสะสมจากปีก่อนๆ จะมีทารกเป็นโรคนี้ประมาณปีละ 40,000 ราย และพบว่าทารกที่มีประวัติครอบครัวหรือบิดามารดาเป็นโรคภูมิแพ้และยังได้รับนมผสมหรือนมวัว  มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแพ้โปรตีนนมวัวสูงกว่าเด็กปกติทั่วไป โดยโรคนี้มักเกิดในขวบปีแรกของทารก ทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ อาทิ อาการผิวแห้ง มีผื่นคันเรื้อรังที่ใบหน้าและลำตัว มีเสมหะครืดคราดในลำคอ คัดจมูกหรือไอเรื้อรัง บางรายอาจปวดท้อง ร้องกวน อาเจียน ท้องเสียหรือท้องผูก ในรายที่รุนแรงอาจเป็นหอบหืดเรื้อรัง ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคหอบหืดเมื่อเติบโตขึ้น และอาจรุนแรงจนเสียชีวิตได้ตั้งแต่วัยทารก ซึ่งโรคนี้กำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขของทุกประเทศที่ต้องช่วยกันหาทางแก้ไข                

นับว่านมจากเนื้อไก่และนมข้าวอะมิโนมีประโยชน์ในการใช้รักษาทารกที่แพ้นมทุกชนิด ที่สำคัญยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของผู้ปกครองมากกว่า 100 ล้านบาทตั้งแต่มีการผลิตออกมา และยังช่วยประเทศชาติลดการนำเข้านมจากต่างประเทศได้ด้วย