ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

"จอน อึ๊งภากรณ์"หวังอนาคตระบบสุขภาพใน 10 ปีข้างหน้าควรมีระบบเดียวครอบคลุมคนไทยทุกคน การรักษาต้องเหมือนกัน ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี จนถึงคนไร้บ้าน

นายจอน อึ๊งภากรณ์ ตัวแทนภาคประชาชนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวบรรยายในเวทีประชุม "หลักประกันสุขภาพคนไทย ฝันให้ไกล ไปให้ถึง" ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกลุ่ม CARE คิดเคลื่อนไทย วันที่ 17 ส.ค. 2563 ที่ผ่านมา โดยได้อภิปรายถึงความคาดหวังต่อระบบสุขภาพในระยะ 10 ปีข้างหน้าจากมุมมองของผู้รับบริการว่าอยากเห็นระบบสุขภาพของไทยที่เป็นระบบเดียวครอบคลุมประชากรทั้งประเทศ มีคุณภาพการให้บริการสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้และเท่าเทียมกัน ซึ่งเรื่องนี้ต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่เฉพาะ สปสช. กับกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น แต่รวมถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอื่นๆด้วย

นายจอน กล่าวว่า ก่อนอื่นเราต้องยึดหลักว่า "การบรรลุถึงระดับมาตรฐานสุขภาพที่สูงที่สุดที่จะเป็นไปได้ เป็นหนึ่งในสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน" ความหมายคือสุขภาพเป็นสิทธิ ไม่ใช่สินค้า ทุกคนต้องสามารถเข้าถึงมาตรฐานบริการสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ในสังคมโดยไม่เกี่ยวว่าเป็นคนรวยหรือคนจน ถ้ายึดหลักนี้ สิ่งที่จำเป็นคือต้องมีระบบสุขภาพระบบเดียวครอบคลุมทุกคนในประเทศ ทุกคนได้รับการรักษาเหมือนกันตั้งแต่นายกรัฐมนตรีจนถึงคนไร้บ้าน

"ภาคประชาชนพูดกันมานานเรื่องความจำเป็นในการรวมกองทุน 3 กองทุนสุขภาพ แต่นอกจากนั้นแล้วเราต้องรวมระบบของเอกชนด้วย เพราะที่ผ่านมาเอกชนได้ดูดเอาทรัพยากรทางสาธารณสุขจำนวนมาก ถ้าเอาทรัพยากรเหล่านี้มารวมกันจะทำให้ระบบสุขภาพของไทยมีพลัง ผมไม่ได้หมายถึงต้องยุบรวมโรงพยาบาลเอกชน แต่โรงพยาบาลเอกชนต้องเข้ามาอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นระบบเดียวกัน อาจกำหนดว่าอย่างน้อย 80% 90% หรืออาจจะ 100% ของเตียง จะต้องอยู่ในระบบหลักประกัน หมายความว่าเมื่อประชาชนไปรับบริการ โรงพยาบาลเอกชนอาจเก็บค่าใช้จ่ายในส่วนที่นอกเหนือจากสิทธิ เช่น ห้องพิเศษ อาหารพิเศษ มีคนดูแลกลางคืน แต่การรักษาทางการแพทย์ เรื่องยา จะต้องไม่เสียเงิน โดยมาเบิกจากระบบหลักประกันสุขภาพ นี่คือสิ่งที่เราต้องการเห็น" นายจอน กล่าว

ประเด็นต่อมาคือ ต้องมีการผลิตหมอประจำครอบครัวให้มากกว่านี้เพื่อเข้ามาให้บริการในระดับปฐมภูมิ ยกตัวอย่างที่ประเทศอังกฤษ เดินไปที่ไหน ไม่เกิน 1 กม.ก็เจอคลินิกหมอครอบครัวแล้ว ไทยควรมีแพทย์ประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทุกที่ รวมทั้งควรมีโรงพยาบาลใกล้บ้าน อย่าง กทม. ควรมีโรงพยาบาลประจำเขตเหมือนกับโรงพยาบาลประจำอำเภอต่างๆ และอยากให้หน่วยบริการปฐมภูมิไม่ควรห่างจากบ้านผู้ป่วยเกิน 5 กม. หรือใน กทม.ก็ 2-3 กม. ขณะที่โรงพยาบาลชุมชนก็ไม่ควรห่างเกิน 20 นาที

"อีกประเด็นคือ เราควรมีสิทธิที่จะป่วยนอกเวลาราชการ อย่างเร็วๆ นี้ ลูกชายคนเล็กผมหัวแตก เลือดไหลไม่หยุด เกิดปัญหาว่าถ้าไปหน่วยบริการก็อยู่ห่างมาก ขับรถเกือบ 1 ชม. หน่วยบริการอื่นๆ ก็ปิดหมด สุดท้ายต้องพาไปโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน ขับรถ 3 นาทีถึง แต่ไม่เข้าข่ายฉุกเฉิน ต้องเสียค่าใช้จ่าย 4,600 บาท ดังนั้น ผมอยากเห็นว่าเราสามารถป่วยนอกเวลาราชการได้ แม้จะมีคลินิกบางส่วนปิดแต่ก็สามารถจัดการให้เปิดเป็นบางส่วนได้เช่นกัน" นายจอน กล่าว

นอกจากนี้แล้ว อีกประเด็นที่สำคัญคือต้องทำให้ชุมชนร่วมเป็นเจ้าของหน่วยบริการ ไม่ว่าจะเป็น รพ.สต. โรงพยาบาลอำเภอ หรือโรงพยาบาลจังหวัด ในระยะยาวหน่วยงานเหล่านี้ควรขึ้นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ในระยะแรกอาจเป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างชุมชนและกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ และทุกโรงพยาบาลควรมีตัวแทนชุมชนเข้าร่วมเป็นกรรมการเพื่อให้ข้อเสนอแนะว่าควรปรับปรุงพัฒนาเรื่องใด รวมทั้งเป็นผู้พิจารณาการรับบุคลากรด้วย ขณะเดียวกันชุมชนก็ควรมีทุนให้คนในชุมชนไปเรียนแล้วกลับมาทำงานในสถานบริการเหล่านี้เช่นกัน

ประเด็นสุดท้ายที่นายจอนนำเสนอคือต้องใช้ระบบไอทีมาช่วยประหยัดเวลาและการเดินทาง ตนไม่เข้าใจว่าขณะนี้ในโรงพยาบาลรัฐหลายที่มีคิวยาว ต้องรอทั้งวัน แน่นอนว่าจำนวนคนไข้เยอะ แต่ยุคไอทีสามารถบริหารจัดการได้ ถ้ามีแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพ เช่น ใช้แอปฯนัดพบหมอ โดยอาจให้ไปที่ รพ.สต.ก่อน เพื่อสกรีนอาการเบื้องต้น แต่ถ้าต้องไปโรงพยาบาลก็มีระบบนัดเวลาที่ชัดเจน ก่อนถึงเวลานัดแอปฯมีการแจ้งเตือน รวมทั้งแจ้งเส้นทางการจราจร สภาพการจราจร หรือระบบ Telemedicine ใช้ประโยชน์ด้วย เป็นต้น

นายจอน กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ในทางเทคนิค แต่เป็นเรื่องที่ต้องการการเมือง ต้องการนโยบายสุขภาพของประเทศ ต้องการรัฐธรรมนูญที่ระบุสิทธิชัดเจน เพราะฉะนั้น เราจะต้องสู้เพื่อรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องมีรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งโดยไม่มีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มาจากการแต่งตั้งมาแทรกแซง และหวังว่ารัฐธรรมนูญใหม่จะร่างโดยประชาชนและระบุสิทธิว่าการบรรลุถึงระดับมาตรฐานสุขภาพที่สูงที่สุดที่จะเป็นไปได้ เป็นหนึ่งในสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ต้องมีระบบเดียวครอบคลุมประชาชนทั้งหมดและให้บริการที่มีคุณภาพสมศักดิ์ศรีของประเทศไทย