ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ประธานอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง สปสช.สรุปผลสอบทุจริตคลินิกชมชุนอบอุ่น-รพ.เอกชน รวม 211 แห่ง เสียหายกว่า 691 ล้านบาท พบกรรมการและอนุกรรมการ อปสข. มีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยง รวม 9 คน ส่งเรื่องให้ ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) พิจารณา พร้อมส่งเรื่องบอร์ดสปสช. ตรวจสอบพื้นที่ปริมณฑลต่อจากนี้

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) สปสช. แถลงข่าวผ่านออนไลน์ (Zoom Meeting)บอร์ด สปสช. สรุปผลตรวจสอบ “หน่วยบริการเบิกเท็จ” บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค กองทุนบัตรทอง โดย นายจิรวุสฐ์ สุขได้พึ่ง บอร์ด สปสช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีหน่วยบริการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขอันเป็นเท็จ กล่าวว่า เรื่องนี้เกิดจากกรณี สปสช.ได้ตรวจพบหลักฐานเกี่ยวกับการบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคว่า มีการทุจริตในหน่วยบริการคลินิกชุมชนอบอุ่น ซึ่งมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และใช้ระยะเวลาเกือบ 1 ปีในการตรวจสอบ เพราะรายการที่ตรวจสอบมีกว่า 1 ล้านรายการ ต้องใช้บุคลากรและทรัพยากรต่างๆในการตรวจสอบ ซึ่งมีคลินิก 177 แห่ง รพ. 37 แห่ง รวมทั้งสิ้น 214 แห่ง โดยคลินิกเวชกรรม ใน 214 แห่งนั้น พบว่า เป็นคลินิกชุมชนอบอุ่นมีการเบิกจ่ายเข้าข่ายทุจริต 176 แห่ง และรพ.เอกชน 35 แห่ง รวมทั้งสิ้น 211 แห่ง

นายจิรวุสฐ์ กล่าวอีกว่า นอกจากคลินิกชุมชน ทางอนุกรรมการได้ตรวจสอบคลินิกทันตกรรม ในส่วนกทม. 79 แห่ง พบว่า 77 แห่งมีการเบิกจ่ายเกี่ยวกับทันตกรรมป้องกันโรค ซึ่งมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 324 ล้านเศษที่เบิกจากสปสช. แต่รวมค่าเสียหายการตรวจสอบ และค่าอื่นๆที่สปสช.เสียไปกับการตรวจสอบเป็นเงิน 691 ล้านบาท เมื่อตรวจพบแล้ว ทางอนุกรรมการฯ ก็ให้ดำเนินการทั้งหมด โดยร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองปราบทั้งหมดแล้ว ส่วนค่าเสียหายต่างๆทั้งหมดเป็นเงิน 691 ล้านบาท ทางสปสช.จะไปร้องเรียกค่าเสียหายแก่หน่วยบริการที่กระทำความผิด หากไม่ได้ก็ต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งต่อไป

นายจิรวุสฐ์ กล่าวว่า ส่วนผู้ที่กระทำผิดที่เกี่ยวข้องมีใครบ้าง เบื้องต้นเป็นผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาล หรือเจ้าของ หรือนิติบุคคล ที่มีกรรมการผู้จัดการทั้งหมด แต่ทั้งหมด 200 กว่าแห่ง เมื่อพิจารณาแล้วปรากฎว่า สามารถแยกเป็นกลุ่มๆ เพราะแต่ละกลุ่มมีนิติบุคคล มีกลุ่มเป็นก้อนได้อีก 28 กลุ่มสถานพยาบาล ทั้งนี้ นอกจากแจ้งความทางอาญา และเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ยังมีความผิดโดยส่งเรือ่งให้ทาง กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเข้าไปตรวจสอบสถานพยาบาลเหล่านี้ว่าผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ อีกหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นไปตรวจสอบแล้วและพบการกระทำผิดจริง และมีการแจ้งความร้องทุกข์คลินิกนั้นด้วย การตรวจสอบระบบทั้งหมด เห็นว่า การขึ้นทะเบียนหน่วยบริการโดยเฉพาะคลินิกชุมชนอบอุ่น หรือรพ. ก็พบมีช่องว่าต่างๆ ในการขึ้นทะเบียน เราก็เสนอให้ปรับปรุงแล้วเช่นกัน

“ ทั้งนี้ อนุกรรมการฯ ได้ตรวจสอบและพบว่า มีเจ้าพนักงานที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะพยานหลักฐานโยงไปถึงกรรการ และอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ (อปสข.) กทม. จึงเสนอคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ ให้ส่งหลักฐานไปยังศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) เพื่อพิจารณาว่า มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงอย่างไร หากพบว่าใครเกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป” นายจิรวุสฐ์

นายจิรวุสฐ์ กล่าวอีกว่า ในระหว่างมีการตรวจสอบมีการแจ้งความดำเนินคดีแล้ว ก็ยังมีการยกเลิกสัญญา โดยได้มีการแจ้งยกเลิกการขึ้นทะเบียนหน่วยงานเหล่านี้แล้ว และมีการจัดให้ประชาชนที่อยู่ในสิทธิไปอยู่ในสถานพยาบาลอื่นต่อไป สิ่งสำคัญคือ เรื่องนี้เป็นเรื่องการเบิกจ่ายการส่งเสริมป้องกันโรคเพียงรายการเดียวกว่า 600 กว่าล้านบาท ซึ่งสิ่งต้องดำเนินการต่อไปคือ ต้องตรวจสอบย้อนหลังต่อไปด้วย นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบว่ามีการโยงคลินิกเทคนิคการแพทย์เกี่ยวข้องด้วย 2 คลินิก ซึ่งได้มอบให้สปสช. ดำเนินการร้องทุกข์ต่อไป นอกจากนี้ ได้เสนอให้ปรับปรุงโครงสร้างอนุกรรมกาของกทม. รวมทั้งการเบิกจ่ายให้รัดกุมไม่ให้เกิดการทุจริตเช่นนี้อีก

ผู้สื่อข่าวถามว่า การตรวจสอบพบเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องหมายถึงใคร นายจิรวุสฐ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพยานหลักฐานเชื่อมโยงว่า เป็นกรรมการ และอนุกรรมการใน อปสข. กทม. ยังไม่มีข้อมูลเชื่อมโยงไปยังเจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานของสปสช.เอง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกรรมการและอนุกรรมการที่พบนั้น ยังไม่ได้กล่าวโทษใคร แต่ที่ตรวจสอบมีกรรมการ 3 ท่าน และมีคณะอนุกรรมการอีก 6 ท่านจึงต้องส่งเรื่องไปยังศูนย์ต่อต้านฯ เพราะอาจมีเจ้าพนักงานเกี่ยวข้อง จึงต้องรอให้มีการตรวจสอบต่อไป

“จากการตรวจสอบเราพบว่า กรรมการและอนุกรรมการ ในอปสข. อาจมีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องนี้ เพราะเป็นเจ้าของหน่วยบริการด้วย จึงได้เสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติว่า ในเรื่องกรรมการหรืออนุกรรมการฯ ไม่ควรเลือกคนที่มีส่วนได้เสีย ไม่เช่นนั้นก็จะมีปัญหาอีก อย่างไรก็ตาม ในส่วนพยานหลักฐานทั้งหมด เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่ของสปสช.เกี่ยวข้อง ส่วนใหญ่เป็นการทำตามมติของอปสข. ซึ่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตาม ส่วนจะเชื่อมโยงกันหรือไม่ ณ ขณะนี้ไม่ปรากฎหลักฐานตรงนี้ “ นายจิรวุสฐ์ กล่าว และว่า นอกจากนี้ ทางอนุกรรมการฯ ยังเสนอคณะกรรมการหลักฯ ให้ตรวจสอบพื้นที่ปริมณฑลด้วย ซึ่งมีทั้ง สปสช.เขต 4 เขต 5 และเขต 6 ซึ่งอยู่รอบๆกทม. ต้องมีการตรวจสอบเช่นกัน

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org