ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สื่อหน้าจอสำหรับเด็กๆ เป็นสิ่งจำเป็นในยุคที่ต้องเข้มงวดกับการควบคุมระยะห่างเพื่อสกัดการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อการเรียนการสอนในโรงเรียนต้องเปลี่ยนมาเป็นระบบออนไลน์ เด็กๆ ต้องอยู่กับหน้าจอตั้งแต่เช้า ซึ่งมีผลกระทบตามมาอย่างแน่นอน สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล​ จัดประชุมวิชาการออนไลน์ เรื่อง "สื่อหน้าจอ กับเด็กปฐมวัย แค่ไหนจึงจะดี" เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล​ กล่าวว่า​ เทคโนโลยีทุกอย่างมีทุนทางเศรษฐกิจอยู่เบื้องหลังหลายหมื่นล้านบาทต่อปี​ แทรกซึมเข้าไปในวิถีชีวิตของประชาชน​ ในขณะที่เด็กๆ อยู่ในวัยที่กำลังสร้างสมองเซลล์ประสาทเชื่อมโยงการสื่อสารทางประสาทจากที่เคยพบเจอกัน​ ใช้ภาษาสื่อสารพูดคุย​ เมื่อต้องมานั่งมองจอนานๆตั้งแต่อายุยังน้อยสมองจะได้รับผลกระทบและการมาแก้ไขตอนโตแล้วเป็นเรื่องยาก

"นอกจากเราต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีฝังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้วต้องปรับวิธีการใช้ลดอย่างไร​ โดยเฉพาะเด็กอายุ​ 2-5 ปี​ ใช้อย่างไรถูกวิธี" รศ.นพ.อดิศักดิ์​ กล่าว

ขณะที่มุมมองของนักวิชาการด้านสุขภาพและพัฒนาการเด็ก ศ.นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ อาจารย์ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย​ กล่าวในประเด็น​ ผลของสื่อหน้าจอต่อเด็กปฐมวัย และ ควรใช้ยังไงให้ปลอดภัย​ ว่า​ ในเด็กปฐมวัยอายุตั้งแต่​ 0-6 ปี​ มีงานวิจัยในไทยและต่างประเทศระบุว่าสื่อหน้าจอมีผลต่อเด็ก​ โดยการใช้สื่อในช่วงโควิดเป็นการ​ disrupt ทั้งระบบเพราะเด็กเรียนออนไลน์

"บางบ้านเปิดจอทีวีตั้งแต่เช้าการใช้สื่อในเด็กเล็กยังทำให้เด็กเข้าถึงเนื้อหาไม่เหมาะกับวัย​ และอายุน้อยลงเข้ามาใช้มากขึ้น​ เป็นการใช้จอไม่เหมาะสมจากการเลี้ยงดูของผู้ปกครองที่ต้องเปิดทีวีทิ้งไว้เพื่อทำงานบ้านหรือค้าขาย​ และบางกรณีพบว่ามีแอพพลิเคชั่นที่ลูกใช้มีข้อมูลถูกส่งไปยังบุคคลที่สามเป็นจำนวนมาก​ ในปี ​2559​ เรามีแคมเปญอย่าปล่อยให้จอเลี้ยงลูก​ เนื่องจากพบว่าส่งผลต่อการพูดช้าและการควบคุมทางอารมณ์​ เคสเหล่านี้มีเพิ่มขึ้น​ปัญหาคือเด็กดูเยอะเกินไป​ ที่จุฬา​ฯ​ ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยไม่ให้เด็กใช้จอคือความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก​ ต้องตอบสนองลูกอย่างเหมาะสมคือควรมีกิจกรรมร่วมกัน​ โดยในเด็กอายุ​ 18​ เดือนขึ้นไปถ้าประวิงเวลาไม่ให้เด็กใช้จอตัวเลขผลการเลี้ยงลูกเชิงบวกเพิ่มขึ้น​ ถ้าแม่มีปฏิสัมพันธ์อันดีในเด็กอายุ18เดือน​ การเลี้ยงลูกจะดีขึ้นเมื่อเด็กอายุ 3 ขวบ​ และจะใช้จอลดลงเมื่ออายุ​4ขวบ​ ถ้าใช้จอเพิ่มมากขึ้นแนวโน้มความสัมพันธ์กับพ่อแม่มีผลต่อการเลี้ยงดู​ การใช้สื่อที่ดีพ่อแม่ควรมีการสนทนากับลูกระหว่างดูทีวี​ ในเด็กอนุบาลเด็กจะอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ​ ปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ๆ ยิ่งพูดคุยมากขึ้นจะเกิดประโยชน์กับลูกมากขึ้น" ศ.นพ.วีระศักดิ์​ กล่าว

อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย​ กล่าวอีกว่า​ จากการศึกษาในเด็ก​ 19,000 ราย​ การที่ผู้ปกครองทิ้งให้อยู่กับทีวีการเรียนรู้ด้านภาษา ของเด็กลดลง​ ความสัมพันธ์นะหว่างพ่อแม่กับเด็กลดลง​ ยิ่งเปิดเยอะพัฒนาการด้านภาษาก็ลดลง​ การดูทีวีกับลูกแล้วชวนคุยจะทำให้ความสัมพันธ์เป็นบวกเพิ่มขึ้น

"ผลกระทบต่อมาคือสมอง​ ในเด็กอายุ 3-5 ปี​ การอยู่หน้าจอโทรศัพท์หรือทีวีมีโอกาสทำให้โครงข่ายในสมองความหนาแน่นลดลง​ ความเชื่อมโยงสมองควบคุมด้านภาษาเกี่ยวพันกับการมองเห็นด้วย​ และผลกระทบอีกด้านคือสติปัญญา​ ช่วง 3 ปีแรกถ้าใช้จอน้อยพัฒนาการไอคิวจะสูงคืออยู่ที่ประมาณ​ 108 เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่ใช้จอเยอะ​อยู่ที่​ 98 หากอยู่หน้าจอทีวีนานกว่า 6 ชั่วโมงครึ่งต่อวันสัดส่วนเด็กจะมีสติปัญญาน้อยลง​ ดังนั้นหากผู้ปกครองชะลอการเปิดหน้าจออย่าให้เด็กรับเร็ว​ หรือเปิดทีวีแล้วคุยกับลูกอย่าเปิดแช่ไว้นานๆเซลล์ประสาทถูกปล่อยทิ้งมีผลต่อสติปัญญา​ โตมามีผลสมาธิสั้นและการเรียน​ เพราะฉะนั้นอย่ารีบซื้อมือถือให้ลูกเร็ว​" ศ.นพ.วีระศักดิ์​ กล่าว

ในเรื่องการเรียนออนไลน์นั้น​ ศ.นพ.วีระศักดิ์​ ให้ความเห็นว่าขึ้นอยู่กับผู้ปกครอง​ หลังจากหลายโรงเรียนพยายามลดการสอนลงมาเพราะฟีดแบ็คการเรียนอยู่บ้านไม่ง่าย​ เด็กบางคนเปิดหน้าจอแล้วเล่นเกมตลอดเวลาโดยที่ครูไม่รู้​ หรือบางคนก็ปิดกล้องไปเลย​ ผู้ปกครองต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กให้มาก ตรงนี้สุดท้ายแล้วอย่างไรก็ต้องกลับไปเรียนที่โรงเรียน​

ธาม เชื้อสถาปนศิริ​ อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวมหาวิทยาลัยมหิดล​ กล่าวถึงการใช้สื่อดิจิทัลเพื่อพัฒนาการเด็กปฐมวัยอย่างสร้างสรรค์และเท่าทันสื่อว่า​ เทคโนโลยีไม่ดี​ ไม่เลว​ และไม่เป็นกลาง​ ขึ้นอยู่กับว่าเราเท่าทันหรือไม่​ สถิติการใช้สื่ออินเตอร์เน็ตหลายประเทศไทยอยู่อันดับสุดท้าย​ระดับคะแนนต่ำกว่าค่ากลางแม้ว่าอินเตอร์เน็ตในไทยจะเร็วแต่การใช้งานสอบตกมาหลายปี​ ความฉลาดทางดิจิทัลของไทยมีปัญหาทักษะการใช้​ เช่น​ Cyber bullying, การจัดการใช้หน้าจอ​, การแสดงความเห็นอกเห็นใจในอินเตอร์เน็ต​ การควบคุมเวลาการใช้​ รวมถึงระบบการศึกษาที่เพิ่งมามีปัญหาตอนเรียนออนไลน์​ โดยปัญหาเกิดจากระบบพ่อแม่แนะนำการกำกับของพ่อแม่ไม่ทำงานเลย​ เช่นไม่เปิดทีวีทิ้งไว้​ ไทยจึงกลายเป็นประเทศที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตไม่ดี​ คำถามคือเด็กต้องการโทรศัพท์มือถือจริงหรือไม่

"e-Learning สื่อดิจิทัลถูกผลิตออกมาเปิดกี่ทีก็เหมือนเดิม​ความยาวเท่าเดิม​ แต่หนังสือนิทานเปิดโอกาสให้พ่อแม่ใช้เวลาเปิดระบบเปิดได้​ สื่อดิจิทัลไม่ทำให้เด็กสนใจพ่อแม่​ สนใจแต่ในจอเพราะฉะนั้นเวลาที่เปิดสื่อดิจิทัลพ่อแม่บอกว่าทำไมลูกดื้อ​ ก็เพราะว่าเด็กไม่สนใจพ่อแม่​ เพราะคุณเลี้ยงลูกไม่ถูกวิธีใช้จอเลี้ยงลูก​ จอมันดึงความสนใจตลอดเวลาโดยไม่เหนื่อยกดกี่ครั้งก็เปิดมาเหมือนเดิม​ พ่อแม่ยังมีเหนื่อย​ เด็กจึงรู้สึกว่าดิจิทัลตอบสนองได้รวดเร็ว​ พ่อแม่ต่างหากที่ทำไม่ได้ดั่งใจนึก" อ.ธาม กล่าว

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวมหาวิทยาลัยมหิดล​ กล่าวอีกว่า​ สื่อดิจิทัลยังทำลายพัฒนาการด้านภาษาและสังคม​ เด็กไม่ได้เรียนรู้สีหน้า​ อารมณ์​ สูญเสียการเชื่อมโยงโครงข่ายสมาธิ

"การซื้อโทรศัพท์มือถือให้ลูกต้องมี​ Mom​ Contract หรือข้อตกลงในการใช้มือถือตั้งกฎว่ามือถือเป็นของแม่​ แม่เป็นคนซื้อ​ แม่ให้ลูกยืม​ แม่มีสิทธิสูงสุด​ Mom​ Contract เป็นมาตรการสำคัญมากของโอเปอเรเตอร์ในต่างประเทศก่อนแม่จะซื้อโทรศัพท์ให้ลูก​ ต้องเซ็นสัญญาเพื่อเป็นกฎกติกาตกลงกัน" อ.ธาม​ กล่าว

ด้าน​ มาริสา สังขาร ครูปฐมวัยศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย​ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล​ กล่าวในประเด็นลดเวลาหน้าจอ ชวนทำกิจกรรมสร้างสรรค์​ ว่า​ สมองเป็นส่วนสำคัญกับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปี​เป็นช่วงที่สมองพัฒนามากที่สุด​ ถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ดี​ เติบโตท่ามกลางปัจจัยลบ​ ขาดการส่งเสริมพัฒนาการที่ถูกต้อง​ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น​ ติดสมาร์ทโฟนมากขึ้น​ บางบ้านพ่อแม่เป็นผู้หยิบยื่นสมาร์ทโฟนให้กับเด็กเพราะคิดว่าจะทำให้สงบ​ นิ่งขึ้น​ ฉลาดขึ้น​ แต่ความจริงแล้วมีผลตรงกันข้าม

"ในมุมของครูที่เจอเป็นเรื่องของภาษา​ การสื่อสาร​ เด็กที่ได้รับสื่อจอใสเปิดทิ้งไว้ขาดปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูส่งผลต่อภาษา​ การพูด​การสื่อสารจะช้าลง​ ต่อมาคือ​ EF ทักษะการทำงานของสมองระดับสูง​ ซึ่ง EF จะพัฒนาตั้งแต่ช่วงปฐมวัยในด้านการควบคุมตนเอง​ รู้คิด​ การแก้ปัญหาต่างๆ​ ถ้าเกิดขาดทักษะพัฒนาทำให้สิ่งเหล่านี้ขาดหายไปด้วย​ อีกปัญหาคืิอพฤติกรรม​ เพราะสื่อบางอย่างมีเนื้อหารุนแรงก้าวร้าวเด็กบริโภคลำพัง​ ถ้าบ้านไหนปล่อยให้เด็กดู​ ไม่ฝึกเรื่องวินัยสิ่งที่ตามมาคือเด็กจะต่อต้าน​ เลียนแบบพฤติกรรม​ ปฏิกิริยาทางอารมณ์​ส่งผลต่อสมาธิและการนอนหลับ​ ปัญหาสุดท้ายคือด้านร่างกาย​ สื่อจอใสทำให้เด็กนั่งอยู่กับที่ปล่อยให้สื่อวิ่งไปเรื่อยๆ ผิดกับธรรมชาติของเด็กที่ต้องได้ออกกำลังกายพัฒนาการตามวัย" นางมาริสา​ กล่าว

ในขณะที่​ ยศพนธ์ ศรีศักดาราษฎร์ นักสุขศึกษา​ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยามหิดล​ กล่าวถึงประเด็น​ลดเวลาหน้าจอ ชวนทำกิจกรรมกลางแจ้ง​ ว่า​ การอยู่หน้าจอทำให้เด็กมีพฤติกรรมเนือยนิ่ง​ ส่งผลให้เกิดโรคอ้วน​ เบาหวาน​ หัวใจ​ ตามมา​ เพราะเด็กต้องได้ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเหมาะสม​ ซึ่งองค์การอนามัยโลก​ มีผลวิจัยว่ามากกว่า​ 50% พบเด็กที่มีพฤติกรรมเนือยนิ่งโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วเมินเฉยต่อการออกกำลังกาย​ ส่งผลให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆของโลก

"องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้สิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กที่ควรได้รับคือการให้เด็กได้เคลื่อนไหวออกกำลังกาย​ ดังนั้นการที่หยิบยื่นโทรศัพท์ให้เด็กดูหน้าจอจึงเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กด้วย​ เด็กควรได้ออกกำลังกายกระฉับกระเฉงอย่างน้อยวันละ60นาที​ โดยฐานพัฒนาการของเด็กที่สำคัญที่สุดคือการเคลื่อนไหว​เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดใหญ่​ ส่งผลไปยังภาษาและการพูดที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก​ สมาธิ​การใช้สายตา​ ควบคุมสายตา​ การปรับร่างกายจะดีขึ้น​ ส่งผลให้มีพฤติกรรมที่ดีขึ้น" ยศพนธ์กล่าว

ทั้งนี้​ นักสุขศึกษา​ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยามหิดล​ กล่าวอีกว่าข้อสังเกตพัฒนาการของเด็กในวัย​ 18​ เดือน​คือ จะต้องขึ้นลงบันไดไม่สลับก้่าว​ โดยเกาะบันไดได้ดี​ เดินถอยหลังได้​ ชอบวิ่ง​ กางแขนขา​ ล้มบ่อย​ และปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ได้

เรื่องที่เกี่ยวข้อง