ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมการแพทย์เปิดข้อมูลการใช้ยารักษาโควิด-19 ในประเทศไทย  ทั้ง "ยาฟาวิพิเราวียร์ - ยาเรมเดซิเวียร์" และล่าสุดยา 2 ตัว "โมลนูพิราเวียร์" ผ่านการอนุมัติ - อยู่ระหว่างเตรียมแผนกระจาย ชี้ต้องให้ภายใน 5 วันหลังมีอาการ ขณะที่ "ยาแพกซ์โลวิด" ประกอบด้วย 2 ตัวยารวมกัน มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมสำรองยาตัวนี้กลางเดือนเม.ย. ขณะที่สัปดาห์หน้าอาจปรับแนวทางการรักษาอีกครั้ง

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 19 มี.ค.2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.มานัส โพธาภรณ์  รองอธิบดีกรมการแพทย์  แถลงถึงประสิทธิภาพการใช้ยารักษาผู้ป่วยโควิดในประเทศไทย ว่า  ขณะนี้การรักษาโควิด19 มีการติดตามข้อมูล และมีการปรับแนวทางการรักษาเป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับยาฟาวิพิราเวียร์ มีการใช้มา 2 ปี โดยช่วงแรกศึกษาข้อมูลจากต่างประเทศ โดยกลไลการออกฤทธิ์ เป็นการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ RNA ไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสเปลี่ยนแปลงไป โดยจากการทบทวนอย่างเป็นระบบ ข้อมูลล่าสุดพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาฟาวิฯ มีอาการดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยาฟาวิฯ  โดยเฉพาะใน 14 วันสัดส่วนอาการดีขึ้นอยู่ที่ 86.9%  

(ข่าวเกี่ยวข้อง : ย้ำ! ประสิทธิภาพ "ยาฟาวิพิราเวียร์" ขออย่าด้อยค่ายา เหมือนวัคซีนป้องกันโควิด19 )

ขณะเดียวกันยังติดตามอาการใช้ยาอื่นๆ อย่างเรมเดซิเวียร์  (Remdisivir)  มีกลไกการออกฤทธิ์ตำแหน่งเดียวกับฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งจริงๆช่วงเริ่มต้น ทางองค์การอนามัยโลก ยังไม่ได้รับรอง กระทั่งมีการใช้ระยะหนึ่งทาง US FDA จึงได้ให้การรับรองใช้ยาตัวนี้สำหรับการรักษาในภาวะฉุกเฉิน โดยให้ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งมีประโยชน์กับคนไข้ที่ทานยาไม่ได้ มีปัญหาการดูดซึม และใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ โดยเมื่อศึกษาวิจัย พบว่า ผู้ป่วยมีอาการลดลง นอนรพ.ลดลง  โดยพบนอนรพ. 10 วัน ส่วนกลุ่มที่ได้รับยาหลอก นอนรพ. 15 วัน

ยาโมลนูพิราเวียร์ (ภาพจากกรมการแพทย์) 

** สำหรับยาตัวที่ 3 เป็นยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) อยู่ในกระบวนการเตรียมพร้อมกระจาย หลังได้รับการอนุมัติจากอีโอซี กระทรวงสาธารณสุข และศบค. ซึ่งกลไกการออกฤทธิ์จุดเดียวกัน และลดความเสี่ยงจะเกิดอาการรุนแรง ขนาดยารับประทานสำหรับผู้ใหญ่ 800 มก.  คือ แคปซูลขนาด 200 มก. จำนวน 4 แคปซูล โดยให้รับประทานทุก 12 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 วัน รวม 40 แคปซูลต่อคน  ซึ่งยาตัวนี้ต้องให้ภายใน 5 วันหลังได้รับการวินิจฉัยเริ่มมีอาการ 

** ตัวที่ 4 คือ  ยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid)  กลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกัน จะออกที่เอนไซม์ ทำให้เชื้อลดจำนวนลง ไม่สามารถเกิดผลกับโรคได้  โดยยาตัวนี้ประกอบด้วยยา 2 ชนิด คือ Nirmatrelvir  และ Ritonnavir  ทำให้ลดความเสี่ยง 88% กรณีให้ภายใน 5 วันหลังมีอาการ ที่สำคัญยาตัวนี้พบว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด จึงได้มีการสำรองยาตัวนี้ โดยกลางเดือนหน้าจะนำเข้า และกระจายในลำดับถัดไป

อย่างไรก็ตาม จากการติดตามการใช้ยามาระยะหนึ่ง จุดสำคัญพบว่า ยาแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน อย่าง เรมเดซิเวียร์ เป็นยาช่วยในกลุ่มที่มีอาการปานกลาง สามารถให้ได้ทางหลอดเลือดดำ และหญิงตั้งครรภ์ รวมทั้งกลุ่มมีปัญหาการดูดซึมหรือการทาน ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ ยังมีประโยชน์ และให้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ส่วนยา 2 ตัวที่เหลือเป็นยารับประทาน เป็นยาใหม่สำหรับหญิงตั้งครรภ์ และการให้นมบุตร 
ทั้งนี้ นอกจากประสิทธิภาพและความปลอดภัย จุดสำคัญคือ ความพร้อมในการใช้ยา หรือการจัดหายา และราคายาต้องคำนึงภาพรวมด้วย ซึ่งมีคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการรักษา โดยมีการติดตามค่าใช้จ่ายในแต่ละราย ยกตัวอย่าง ยาฟาวิฯ กระบวนการรักษา 1 คอร์สประมาณ 800 บาท ส่วนเรมเดซิเวียร์อยู่ที่ 1,512 บาท ส่วนยาใหม่ 2 ตัว ทั้งโมลนูพิเราวียร์ และแพกซ์โลวิด ณ ปัจจุบันยังอยู่ที่คอร์สละประมาณ 10,000 บาท

"การได้มาของแนวทางการรักษา จะมีการปรับเปลี่ยนตามหลักฐานเชิงประจักษ์ ซึ่งมีการประชุมของผู้เชี่ยวชาญตลอด โดยล่าสุดมีการปรับปรุงไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มี.ค.2565 แต่ในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุม และอาจมีการปรับปรุงแนวทางการรักษา ซึ่งมีการจำแนกความรุนแรงของโรค ยาตัวเลือกที่มีให้ใช้ การรักษาตามอาการ รวมทั้งฟ้าทะลายโจร" รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว 

นอกจากนี้ ข้อมูลจากโครงการ "เจอ แจก จบ" ก็มีการใช้ยา 3 สูตร โดยทั้งการรักษาตามอาการพบสัดส่วน 52%  ส่วนการใช้ยาฟ้าทะลายโจร 24% และการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ 26% ซึ่งตรงนี้เป็นข้อมูลจากเขตสุขภาพที่ 4 เขตสุขภาพที่ 5 และเขตสุขภาพที่ 6  ขอย้ำว่า กระทรวงสาธารณสุขทำงานกันเป็นทีม มีการติดตามประเมินการติดเชื้อ การใช้ยา ประสิทธิภาพต่างๆอย่างต่อเนื่อง 

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org