ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“อนุทิน” ชื่นชม “แรงงานไทย”เป็นกระดูกสันหลังเศรษฐกิจ  ขอให้มั่นใจจะก้าวข้ามโควิด สถานการณ์วิกฤตไปด้วยกัน ย้ำ! สธ.จะทำสุดความสามารถให้ประเทศไทยถึงสถานะโรคประจำถิ่น หรือ Endemic หวังให้เศรษฐกิจพลิกฟื้นกลับมาเฟื่องฟู 

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เนื่องในวันแรงงาน ระบุว่า

ในฐานะนักบิน คำว่า “May Day” จะถูกใช้เพื่อขอความช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่สำหรับวันนี้ คำว่า “May Day” มีความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพราะเป็นวันที่พี่น้องแรงงานไทย จะได้รำลึกถึงพลังและศักดิ์ศรีของพวกท่าน รวมถึงการยกย่องเชิดชูและแสดงมุทิตาจิตต่อผู้ที่ได้ทำการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิในนามผู้ใช้แรงงานเพื่อปกป้อง พิทักษ์ประโยชน์และสวัสดิภาพของเหล่าผู้ใช้แรงงานทุกคนตราบจนถึงปัจจุบัน 

ประวัติศาสตร์ที่ควรจดจำคือ การเคลื่อนไหวเพื่อการทำงานแปดชั่วโมงต่อวัน (eight-hour day movement) ซึ่งได้กลายเป็นมาตรฐานและเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียกร้องปกป้องสิทธิแรงงานในด้านอื่นๆมาอย่างต่อเนื่อง และการสร้างคุณค่าและการเชิดชูศักดิ์ศรีของผู้ใช้แรงงาน ทำให้รัฐต้องเปลี่ยนชื่อวันนี้จาก “วันกรรมกร” เป็น “วันแรงงานแห่งชาติ” และได้ทำการสถาปนา กระทรวงแรงงาน ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลสนับสนุนสิทธิและประโยชน์ของพี่น้องแรงงานไทย จากเดิมซึ่งมีสถานภาพเป็นเพียงกรมแรงงาน ภายใต้กระทรวงมหาดไทย

แรงงานถือเป็นกระดูกสันหลังของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปีเป็น “วันแรงงานแห่งชาติ” และก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พี่น้องผู้ใช้แรงงานจะได้ส่งเสียงย้ำเตือนถึงความสำคัญและข้อเรียกร้องเพื่อคุณภาพชีวิตและสวัสดิการที่ดีขึ้นของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นเสียงสำคัญยิ่งที่ผู้บริหารประเทศจะต้องรับฟัง

ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานด้านสาธารณสุข ด้านคมนาคม ตลอดจนด้านกีฬา และการท่องเที่ยว ซึ่งล้วนมีความเกี่ยวข้องต่อคุณภาพชีวิตและสวัสดิภาพที่ดีขึ้นของพี่น้องแรงงานไทยทุกคน ผมมีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับพื้นฐานคุณภาพชีวิตของพี่น้องแรงงานไทย ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดที่ต่อเนื่องมากว่าสองปี 

แต่ผมขอให้ความมั่นใจต่อพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคนว่า เรากำลังจะก้าวข้ามสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ไปด้วยกันแล้ว กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการเปลี่ยนสถานะโรคระบาดโควิด-19 ให้เป็นโรคประจำถิ่น หรือ Endemic  ซึ่งจะยังผลให้ผู้ประกอบการและสภาพเศรษฐกิจได้พลิกฟื้นกลับมาเฟื่องฟูอย่างเต็มที่ด้วยศักยภาพและความพร้อมของพวกท่านและโอกาสทางธุรกิจที่จะมีมากขึ้นกว่าเดิม

ประเทศไทยของเราได้รับความเชื่อถือและยกย่องจากนานาประเทศว่าเราเป็นต้นแบบในการบริหารสถานการณ์โควิด และได้รับการยอมรับว่ามีความมั่นคงทางสาธารณสุขเป็นลำดับต้นๆของโลก ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้รวมกับต้นทุนทางศักยภาพและวัฒนธรรมแห่งจิตใจบริการ หรือ Service mind ที่แรงงานไทยมีอยู่อย่างโดดเด่น เน้นความเป็น SOFT POWER จะทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ฟื้นตัวและก้าวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง 

ความเชื่อมั่นของทั้งโลกต่อประเทศไทยจะมีส่วนเสริมสร้างความมั่นคงต่อการประกอบกิจการทุกแขนงและเป็นการต่อยอดโอกาสในกิจการด้านอื่นๆนอกเหนือจากอุตสาหกรรมการผลิตสินค้า การเกษตร การก่อสร้าง ธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจด้านโลจิสติค อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ที่เราเคยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว และจากการถึงพร้อมด้วยระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ 

ประเทศไทยของเราจะกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคนี้และจะเป็นจุดหมายปลายทางของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการจัดประชุมและนิทรรศการ (MICE) เป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาลที่ผู้คนทั่วโลกจะมาขอรับบริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจรหรือที่เรียกว่า Medical Hub สร้างโอกาส สร้างงานและสร้างรายได้ให้กับพี่น้องผู้ใช้แรงงานได้อีกมากมาย ซึ่งหน่วยงานทุกแห่งในการกำกับดูแลของผมได้รับนโยบายไปปฎิบัติเพื่อให้เกิดความพร้อมในทุกๆด้านและดำเนินการได้ทันที

ผมขอส่งความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่าน และขอร่วมส่งเสียงสนับสนุนนายจ้างให้ได้ช่วยกันส่งเสริมสวัสดิภาพของลูกจ้าง ทั้งทางสุขภาพกาย สุขภาพจิต และสุขภาวะทางเศรษฐกิจ โดยมีภาครัฐให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เรากำลังจะผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

 #ฟ้าหลังฝนมีความสดใสอยู่เสมอครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/nituna1966/posts/5480910561970107

 

******************************

 

 *สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org