ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

27 ตุลาคม 2565 นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังจากที่การประชุม World Bio Hub  ที่กรุงโซล ประเทศ เกาหลีใต้ เสร็จสิ้น โดยในงานนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง ได้เข้าร่วมประชุมด้วย

นายวัชรพงศ์ ระบุว่า การประชุมในครั้งนี้ เราได้ประโยชน์ในเรื่องหลักๆ คือ การบรรลุสัญญาร่วมเป็นภาคีกับสถาบันวัคซีนนานาชาติ ซึ่งจะทำให้ไทย ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล และผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน กับนานาชาติ ไปจนถึงการบรรลุข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขไทย กับกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจะเป็นการพัฒนา องค์ความรู้ของประเทศไทย โดยเฉพาะ ด้านเทคโนโลยีการสื่อสารสุขภาพ ซึ่งทางเกาหลี มีความโดดเด่นในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก 

นอกจากนั้น การร่วมประชุมในระดับโลก ยังเป็นการสะท้อนความยอดเยี่ยมของระบบสาธารณสุขไทย ที่นานาชาติ ยอมรับ และหวังจะได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์ จากไทย โดยเฉพาะในการประเด็นของประสิทธิภาพระหว่างจัดการวิกฤติโรคระบาด 

“เวทีนี้ ให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนา และกระจายวัคซีน สำหรับประเทศไทย นอกจากจะสามารถพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ได้ในประเทศ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังได้ยกย่องชื่นชม อสม. อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ที่ทำหน้าที่กระจายข้อมูลข่าวสาร ในการให้บริการวัคซีนของภาครัฐ ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ ทั้ง ยังเป็นผู้ที่ทำงานหนัก อำนวยความสะดวกให้ประชาชนไปถึงจุดบริการด้วย แม้ประเทศไทย จะนำวัคซีนเข้ามาในระบบบริการเป็นจำนวนมาก แต่หากประชาชนไม่ร่วมมือ ความสำเร็จก็เกิดขึ้นยาก

ซึ่งส่วนสำคัญ ที่สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน นายอนุทิน ระบุว่า คือ อสม.นี่เอง ที่คอยไปเคาะประตูบ้าน ไปบอกถึงประโยชน์ของการฉีดวัคซีนโควิด-19 จนประชาชนรับทราบและเข้าใจ ทำให้ไทยมียอดฉีดวัคซีนแล้วกว่า 80% ของประชากร อสม.คืออาวุธลับของไทย ในการต่อสู้กับภัยสาธารณสุข

เรื่อง อสม.นั้น ต่างชาติให้ความสนใจอย่างมาก มีประเทศไทย เป็นประเทศเดียวที่ทำแบบนี้ได้ สำหรับคนไทยแล้ว นายอนุทิน มองว่า อสม. ก็ไม่ต่างจากหมอคนที่ 1 ที่สามารถบรรเทาความเจ็บป่วยได้ในระดับหนึ่ง เหมือนชั้นกรองแรกในระบบสาธารณสุขไทย ที่คอยประคองไม่ให้ระบบสาธารณสุข สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง”