ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ขณะนี้ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับการกลับมาระบาดอีกครั้งของโควิด-19 ฝั่งตะวันตกหลายประเทศซึ่งกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวก็เจอสถานการณ์เดียวกันกับบ้านเรา ถึงขั้นอาจจะต้องกลับมาสวมหน้ากากอนามัยกันอีกครั้ง

เริ่มจากอังกฤษ ข้อมูลของสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UKHSA) เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุดพบว่า ตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นถึง 13% ภายในสัปดาห์เดียว นับเป็นยอดรวมรายวันสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม

ศาสตราจารย์ คิต เยตส์ นักคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบาธและสมาชิก Independent Sage กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่รวมตัวกันเพื่อให้คำแนะนำทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นอิสระแก่รัฐบาลสหราชอาณาจักรแนะนำให้ชาวอังกฤษกลับมาสวมหน้ากากอนามัยในช่วงฤดูหนาวนี้ โดยยกตัวอย่างประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ที่สวมหน้ากากอนามัยที่กรุงเวียนนา เพราะเป็นช่วงขาขึ้นของโควิด-19

ส่วนในสหรัฐฯ ทั้งตังเลขผู้ติดชื้อและตัวเลขผู้ที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลกำลังพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ บ่งบอกว่าการระบาดอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูหนาวอาจจะกำลังเกิดขึ้น

การติดตามข้อมูลของ The New York Times พบว่า ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาสหรัฐฯ พบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นถึง 56% ส่วนตัวเลขผู้เข้ารักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 28% ขณะที่ข้อมูลการตรวจสอบน้ำทิ้งซึ่งมีความแม่นยำมากกว่าการนับจำนวนผู้ติดเชื้อบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกัน โดยจากจุดตรวจเพื่อติดตามระดับเชื้อไวรัสในน้ำทิ้งในสหรัฐฯ กว่า 1,300 จุด 65% รายงานว่าพบเชื้อเพิ่มขึ้น และ 38% มีปริมาณเชื้อไวรัสสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2021

ทว่า กรณีของสหรัฐฯ อาจน่ากังวลกว่าในสหราชอาณาจักร เพราะนอกจากจะต้องรับมือกับโควิด-19 แล้ว สหรัฐฯ ยังต้องเผชิญกับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ที่คร่าชีวิตชาวเมริกันราวปีละเกือบครึ่งแสน และโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (RSV) ซึ่งพบบ่อยในเด็ก

ฤดูหนาวปีนี้ทั้งใหญ่หวัดใหญ่และโรคติดเชื้อทางเดินหายใจระบาดหนักที่สุดครั้งหนึ่ง และถูกระบุว่าเป็นฤดูไข้หวัดใหญ่ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่การระบาดของไข้หวัดหมูเมื่อปี 2009 โดยมากกว่า 80% ของเตียงในโรงพยาบาลเป็นของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่และโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งตัวเลขนี้สูงกว่าอัตราการใช้เตียงของผู้ป่วยโควิด-19 เสียอีก

ล่าสุดคณะกรรมการสุขภาพของนิวยอร์กซิตีออกคำแนะนำให้ประชาชนกลับมาสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้งเมื่ออยู่ภายในอาคารของสถานที่สาธารณะเพื่อป้องกันทั้ง 3 โรค ทั้งที่ยกเลิกมาตรการดังกล่าวไปนานแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับเป็นข้อบังคับ ขณะที่ทำเนียบขาวเตรียมพร้อมรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่แล้ว ทั้งการแจกชุดตรวจโควิด ทั้งการจัดตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนในชุมชนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงง่าย และการเฝ้าจับตาเชื้อสายพันธุ์ใหม่

ขณะนี้สิ่งเดียวที่ผู้เชี่ยวชาญทราบคือ จำนวนผู้ติดเชื้อและการรักษาตัวในโรงพยาบาลกำลังเพิ่มขึ้น ทว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าการแพร่ระบาดระลอกนี้จะรุนแรงน้อยกว่าปีก่อนๆ ที่นอกเหนือกว่านั้นคือ ผู้เชี่ยวชาญยังเผยว่ายังไม่แน่ชัดว่าการระบาดระลอกนี้จะใหญ๋แค่ไหน จะกินเวลานานเท่าใด จะเป็นการระบาดทั่วประเทศหรือระบาดเฉพาะภูมิภาค ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังลังเลที่จะเรียกจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นนี้ว่าเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นดังกล่าวยังใหม่อยู่

ซูซาน ไคลน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจากมหาวิทยาลัยการแพทย์มินนิโซตาเผยกับเว็บไซต์ The Atlantic ว่า “ฉันยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่มากพอที่จะเรียกว่าเป็นระลอกได้เลย”

ถึงกระนั้น The Atlantic ระบุว่า แม้ว่าระลอกฤดูหนาวนี้อาจจะไม่ใช่ระลอกใหญ่ แต่ก็น่าจะเป็นข่าวร้ายสำหรับโรงพยาบาลซึ่งขณะนี้เต็มไปด้วยผู้ใหญ่ที่เป็นไข้หวัดใหญ่และเด็กๆ ที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ ทำให้สถานพยาบาลหลายแห่งมีผู้ป่วยล้นมือ และสถานการณ์จะแย่ลงกว่านี้หากเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหญ่

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนคาดการณ์ว่า เทศกาลวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึง บวกกับปัจจัยต่างๆ อาทิ ภูมิคุ้มกันที่ลดลง และอัตราการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต่ำ จะเป็นตัวเร่งการระบาดของเชื้อไวรัส ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยและการเข้ารักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น

เกรกอรี โปแลนด์ แพทย์นักวิจัยที่ศึกษาพันธุศาสตร์ภูมิคุ้มกันของการตอบสนองต่อวัคซีนเผยกับ The Atlantic ว่า “ผมคิดว่ามันจะดำเนินต่อไป เราจะยิ่งราดน้ำมันเข้ากองไฟมากขึ้นจากการเดินทางช่วงคริสต์มาส”