ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

หมอจุฬาฯ แนะไทยอย่ากังวลคนจีนเข้าประเทศ เหตุเชื้อโควิดจีนล้าหลังสุด ไทยเจอมาหมดแล้ว ญี่ปุ่นติดเยอะสุดคนไทยยังแห่เที่ยวเยอะ แสดงถึงสถานการณ์ไม่เหมือนอดีตแล้ว ส่วนวัคซีนเข็มกระตุ้นในคนทั่วไปอาจไม่จำเป็นต้องฉีดมาก 4 เข็มก็เพียงพอ เว้นกลุ่มเสี่ยง 608 ส่วนเด็กไม่แนะนำฉีดมากเช่นกัน เพราะเชื้อไม่รุนแรง ขณะที่สหรัฐ-อังกฤษยังพบปัญหากล้ามเนื้อหัวใจหลังฉีดวัคซีน

เมื่อวันที่ 9 มกราคม  ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวถึงกรณีวันนี้เป็นวันแรกที่นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในประเทศไทย และคนไทยบางส่วนกังวลเรื่องการระบาดของเชื้อจากจีน ว่า เชื้อโควิดที่ระบาดในจีน เป็นเชื้อล้าหลังประเทศต่างๆทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย เพราะรายละเอียดถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อของจีน ไม่มีตัวไหนที่ไทยและทั่วโลกไม่มี อีกทั้ง คนจีนที่เข้ามามีประกันสุขภาพ หากติดโควิดก็มีระบบการรักษาอยู่  และไทยในสถานการณ์โอมิครอนที่ผ่านมา น่าจะเก็บตกคนไทยได้มากแล้ว มีภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนมากพอสมควร  

“ที่สำคัญคนไทยฉีดวัคซีนมาเยอะพอสมควรแล้ว จริงๆ คนทั่วไปไม่ควรฉีดวัคซีนมากกว่า 4 เข็มแล้ว เนื่องจากมีข้อมูลงานวิจัยจากสหรัฐอเมริกา ว่า ฉีดยิ่งมากยิ่งมีผลต่อการตัดภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ฆ่าเชื้อไวรัสไม่ดีพอ ยกเว้นกลุ่มเสี่ยง 608 เป็นกลุ่มเปราะบางก็ยังต้องฉีดกระตุ้นโดยเฉพาะเข็ม 3 เข็ม 4 ยังอนุโลมได้ แต่หากฉีดไป 2 หรือ 3 เข็ม แล้วติดเชื้อไปแล้ว ประกอบกับหากสุขภาพไม่มีผลกระทบใดๆ ก็อาจไม่ต้องฉีดเข็มกระตุ้นได้” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว

หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพฯ กล่าวอีกว่า   ส่วนเด็กเล็กหากฉีดมาแล้ว1 หรือ 2 เข็ม ไม่จำเป็นต้องฉีดกระตุ้นอีก เพราะยังมีเรื่องกล้ามเนื้อหัวใจที่พบในสหรัฐ และอังกฤษพบมากขึ้น ประกอบกับความรุนแรงเมื่อเด็กติดเชื้อก็ไม่มากแล้ว  ขณะที่คนทั่วไปไม่จำเป็นต้องฉีดหลายเข็มแล้วเช่นกัน รวมไปถึงที่กระทรวงสาธารณสุขบอกว่าในอนาคตอาจฉีดวัคซีนโควิดปีละครั้ง ซึ่งหากสถานการณ์การระบาดเปลี่ยนไป อาจไม่ต้องก็เป็นได้  อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า การฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นช่วยเรื่องลดความรุนแรงได้จริง แต่หากฉีดมากแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฉีดกระตุ้นหลายๆ เข็มอย่างเข็ม 3 และ 4 ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ยิ่งคนทั่วไป ยิ่งไม่จำเป็น

“นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาไทย สถานการณ์โควิดอาจไม่ต้องกังวลมากนัก แต่เราก็ต้องติดตามต่อเนื่อง  จริงๆ คนไทยไปญี่ปุ่นเยอะพอสมควร ก็ไม่ได้กังวลอะไร ทั้งที่ญี่ปุ่นตอนนี้ติดโควิดเยอะมากที่สุดในโลก และเข้ารพ.มากด้วย ดังนั้น เราต้องดูตามสถานการณ์ตามความเป็นจริง อย่างของไทยตอนนี้ก็เปิดมากขึ้น ไปรวมกิจกรรมต่างๆก็มากขึ้น ไปงานคอนเสิร์ตก็มี” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า ตนเคยโพสต์ในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่องการฉีดวัคซีนโควิดชนิด mRNA เกี่ยวกับผลของการฉีดกระตุ้นมากเข็ม ในยุคโอไมครอน โดยรายงานในวารสาร Science ตั้งแต่ มิถุนายน 2022 และจนกระทั่งถึง ธันวาคม 2022 และตามรายงานจากองค์กรและสถาบันต่างๆ

เป็นการอธิบายว่าเมื่อมีการฉีด mRNA วัคซีน มากขึ้น ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อและการกันอาการหนักจะยิ่งลดลงกว่าที่คิดและน่าจะอธิบายถึงว่าทำไมในยุคโอไมครอน จึงมีการติดซ้ำอยู่เรื่อยๆ เมื่อมีการฉีดมากเข็มขึ้น

1-จาก hybrid immune damping วัคซีนเมื่อฉีด ไปแม้จะมากเข็มก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน ทั้ง แอนติบอดี ระบบ บีและทีเซลล์ จะเป็นต่อสายพันธุ์บรรพบุรุษอู๋ฮ้่น และเมื่อติดเชื้อโอไมครอนก็เป็นในลักษณะเช่นเดียวกัน

https://www.science.org/doi/10.1126/science.abq1841...

Hybrid immune damping

2-รายงานล่าสุด เมื่อได้รับวัคซีนมากขึ้น แอนตี้บอดี้จะปรับเปลี่ยนเป็น IgG4 ซึ่งทำให้หน้าที่ในการฆ่าไวรัสด้อยลงเมื่อเทียบกับ IgG 1 และ 3 และ อาจอธิบายประสิทธิภาพที่ถูกจำกัดลง

https://www.science.org/doi/10.1126/sciimmunol.ade2798

แต่ทั้งนี้ ยังเป็นไปได้ว่ายังมีระบบต่อสู้กับไวรัสที่ไม่ผ่านทางเส้นทางดังกล่าว ที่ เป็นระบบนักฆ่า จาก innate immunity ซึ่งแท้จริงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติมากกว่าที่ได้จากวัคซีน และการที่ต้องมีต้นทุนสุขภาพที่ดี

(ทั้งนี้ หมายความว่า ถ้าติดตามธรรมชาติและอาการไม่หนักและไม่เกิดลองโควิด ก็จะมีการสะสมความดีไว้)

3- ผล ของ mRNA วัคซีน ทำให้เกิดการจัดการโปรแกรมใหม่ (reprogram) ของระบบนักฆ่าด่านหน้าของมนุษย์ ต่อเชื้อโรค (innate immunity) และที่ทำหน้าที่ตรวจตราการปะทุของไวรัสอื่นๆที่หมกตัวช่อนอยู่ เช่น ไวรัส ตระกูลเริม รวมทั้งการควบคุมเซลล์ มะเร็ง

ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นเกิดอธิบายได้จากกลไก ที่ผ่าน อนุภาคนาโน ควบกับไมโคร อาร์เอ็นเอ และ G quadruplex ที่ควบคุมการทำงานของยีน และ กระตุ้นให้เกิกการอักเสบอย่างต่อเนื่อง

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9012513/...

นอกจากนั้นมีการเปิดเผยผลข้างเคียงรุนแรงจากวัคซีน mRNA ในเดือนกันยายน 2022 ในวารสาร vaccine ซึ่งเป็นตัวเลขมากว่าที่เราเคยทราบ

โดยเป็นข้อมูลจริงที่ได้ระหว่างมีการดำเนินการศึกษาเฟสที่สามในมนุษย์ แต่ไม่ได้มีการเปิดเผยมาก่อน

ผู้ศึกษาและวิจัย ได้เรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใสอย่างชัดเจนและต้องประเมินประโยชน์ที่จะได้รับ และผลข้างเคียงรุนแรงที่เกิดขึ้น โดย วัคซีนจะไม่สามารถป้องกันการติดได้ดีนักในโอไมครอนสายย่อยต่างๆ และความสามารถในการลดอาการหนักจะอยู่จริงที่เท่าใด

ในขณะที่ สถานการณ์โควิด ระยะหลังเชื้ออ่อนกำลังลงไปมาก อยู่แล้ว และเมื่อฉีดไปมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะได้

ผลกระทบในทางลบจึงต้องชั่งประโยชน์ และผลข้างเคียง ด้วย

https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/36055877/

การฉีดวัคซีน mRNA ยังต้องประเมินความเสี่ยงของหัวใจอักเสบ

ถึงแม้ เช้าใจว่าเกิดไม่มาก แต่ถ้าเกิดแล้วความรุนแรงอาจสูง

รายงานจากคณะแพทย์เยอรมัน ทางพยาธิวิทยาที่มีชื่อเสียง พิสูจน์ จากการตรวจศพ ของผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA และเสียชีวิตเฉียบพลัน ภายใน 7 วัน จำนวน 25 ราย อายุ 45 -75 ปี

โดยแสดงความผิดปกติในกล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มหัวใจ มีการอักเสบเป็นหย่อมๆ และทำให้สามารถสรุปได้ว่าทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดปกติ รายงานวันที่ 27 พฤศจิกายน 2022

https://link.springer.com/article/10.1007/s00392-022-02129-5

ทั้งนี้ ตัวเลขจริง อาจจะมากกว่า ที่ประเมิน และความรุนแรงของ

กล้ามเนื่อหัวใจอักเสบอาจจะมากกว่าที่เคยคิดหรือไม่ เนื่องจากการรายงานทั่วโลกเป็น การรายงาน retrospective แบบย้อนหลัง และมักตัดประเด็น เฉียบพลันออก โดยลักษณะของอาการเช่นนี้ เป็น sudden death คือหัวใจหยุดเต้นกระทันหัน จากกระแสไฟฟ้าผิดปกติ ไม่ใช่ หัวใจวาย ที่พอมีเวลาและมีอาการให้เห็นก่อน

ผลแทรกซ้อนของวัคซีน จากความเป็นไปได้ จะเพ่งเล็ง ประเด็น ที่ (1) และ (2) โดยอาจมองข้าม (3)

(1) เรื่องเส้นเลือดในหัวใจตัน หรือ

(2) ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบทั่วไป คือหัวใจวาย แต่ในกรณีนี้

(3) เป็นกระจุกของเซลล์อักเสบที่อยู่ในกล้ามเนื้อหัวใจและเยี่ยหุ้มหัวใจ ที่ไปขัดขวางเส้นใยประสาท นำไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้หยุดเต้นกระทันหัน และถ้ากระตุ้น หัวใจ ขึ้นมาได้ จะตามต่อด้วย กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ทั่วไป ทำให้หัวใจบีบตัวไม่ไหวตามด้วยหัวใจวาย

สำหรับประโยชน์ของวัคซีนนั้นไม่ว่าจะเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น mRNA และวัคซีนรุ่นใหม่ที่ ควบรวมสายพันธุ์ BA4/5 เข้าไปด้วย ผลปรากฏว่า สายพันธุ์ย่อยใหม่ BQ XBB BX7 ดื้อต่อวัคซีนทั้งหมด รวมทั้งวัคซีนรุ่นใหม่ กันติดไม่ได้ แม้ว่าอาจจะลดอาการหนักได้แต่ไม่ดีเท่ากับการติดเชื้อตามธรรมชาติที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐเองรวมกระทั่งถึงสถาบันในยุโรปและในอังกฤษ

โควิดสายย่อยใหม่นี้ นอกจากดื้อวัคซีนยัง ดื้อต่อโมโนโคลนอลแอนติบอดี ทุกชนิดแล้ว ที่ใช้ในการรักษาและรวมถึงชนิดที่ใช้ป้องกันที่มีฤทธิ์ยาวนานหลายเดือน (evusheld) ตามข้อมูลของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ และในยุโรปและในอังกฤษ