ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ผอ.บริหารสถาบันวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี ทนไม่ไหวปัญหาจ่ายยา PrEP และ PEP ป้องกันการติดเชื้อ HIV ไม่ได้รับการแก้ไขจริงจัง เคยหารือกระทรวงสาธารณสุขหลายครั้งก็ไร้วี่แวว ถูกซ้ำเติมจากงบส่งเสริมสุขภาพล่าช้าอีก ลั่นเครือข่ายจะเคลื่อนไหวให้องค์กรระดับโลกได้ทราบถึงข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมด

เมื่อวันที่ 9 ม.ค. พญ.นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์ ผอ.บริหารสถาบันวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI) เปิดเผยกรณีมีปัญหาการจ่ายยา PrEP และ PEP ป้องกันการติดเชื้อ HIV ว่า ตอนนี้มีปัญหาอยู่ 2 เรื่องใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน เรื่องแรกเดิมประเทศไทยให้องค์กรชุมชนอบรม ขึ้นทะบียนช่วยป้องกันการติดเชื้อ One stop service ตรวจเลือด ส่งผลตรวจให้แพทย์พิจารณาจ่าย PrEP และ PEP ได้ ทำให้มีการเข้าถึงยา และได้รับคำชื่นชมชมจากทั่วโลก แม้กระทั่ง ยูเอ็นเอดส์ ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน ยังมาดูงานและให้การชื่นชมว่าไทยเป็นต้นแบบเมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2565 แต่กลับมีคนที่อาจจะไม่เข้าใจและร้องเรียนไปยัง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี พิษณุโลก และสงขลา ให้บุกจับคลินิกเหล่านี้ กล่าวหาว่ามีการสต็อกยา และยาจ่ายยาทั้งที่ไม่มีแพทย์ หรือพยาบาล

 

ซึ่งต่อมา เมื่อหารือกับนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) ก็ระบุว่าให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ไปดำเนินการออกหนังสือเป็นทางการยืนยันว่าสามารถทำได้ แต่ทางสบส. กลับออกหนังสืออย่างเป็นทางการออกมาว่าไม่สามารถทำได้ และเกิดการวางแนวทางใหม่เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2565 ว่าต้องสต็อก และจ่ายยา PrEP และ PEP  ในสถานพยาบาลของรัฐ และเภสัชกรในสถานพยาบาลรัฐเท่านั้น  ทำให้ไม่สามารถสต็อกยา จายยาในชุมชนได้ ทางองค์กรภาคประชาสังคมที่เคยทำจึงต้องหยุดให้บริการ และคิดว่า คร. และสบส. ก็คงจะต้องไปหาทางอย่างเร่งด่วน ว่าออกแนวทางที่ถอยหลังลงคลองออกมาได้อย่างไร ถ้าคิดว่าออกมาโดยไม่สมควรก็ต้องแก้ไข ไม่ให้ผู้รับบริการได้รับผลกระทบน้อยที่สุด สั้นที่สุด 

 

อีกปัญหาหนึ่งคือ ตั้งแต่ขึ้นปีงบประมาณ 2566 กรณีที่นายอนุทิน ไม่ยอมเซ็นต์ให้มีการจัดสรรงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค (P&P) ยิ่งซ้ำปัญหา นอกจากจ่ายยา PrEP และ PEP ไม่ได้แล้ว ยังเกิดปัญหาในการตรวจ HIV ที่ไหนก็ได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง จากนี้ไม่มีอีกแล้ว จะตรวจได้ต้องเป็นผู้มีสิทธิบัตรทองเท่านั้น และต้องทำในสถานพยาบาลรัฐเท่านั้นด้วย ทั้งๆ ที่คนที่มารับบริการที่องค์กรภาคประชาสังคมกว่า 60-70 % ไม่ใช่สิทธิบัตรทอง และหนีจากการถูกเลือกปฏิบัติตีตราโดยหน่วยงานภาครัฐ 

“เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายของนายอนุทิน แนะมา แล้วนายอนุทิน ก็คงกังวล  เลยไม่อยากต้องมาแตะกับเรื่องที่อาจขัดกฎหมาย แต่ทำแบบนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิทางด้านสุขภาพของประชาชนในการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างชัดเจน จะทำให้เป้าหมายการยุติปัญหาโรคเอดส์ในอีก 8 ปีข้างหน้า เป็นการถอยหลังเข้าคลองอย่างชัดเจน   ทั้งๆ ที่เพิ่งโชว์ชาวโลกไปเพียงเดือนเดียวว่าประเทศไทยมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มี PrEP และ PEP โดยองค์กรชุมชน และกลับลำเฉย ถ้าจะทำให้ไม่ได้เป็นนายกฯ ก็เพระอย่างนี้แหละ” พญ.นิตยา กล่าว   

 

เรื่องนี้ ทางเครือข่ายผู้ทำงานด้าน HIV เรามีการรวมดูผลกระทบว่ามีแค่ไหน และจะสื่อให้เห็นปัญหา จากเดิมที่เราเคยอดทนทำงาน ฝืนทำต่อแม้รู้ว่าเสี่ยงผิดกฎหมาย หากถูกจับไม่มีใครช่วย หรือฝืนทำโดยที่รู้ว่าเราเบิกงบประมาณรัฐไม่ได้ และเราไปตายเอาดาบหน้าหวังว่าจะมีใครเอาเงินทุนมาให้ แต่รอบนี้เราคิดว่าเราจะไม่ฝืนแบบนั้น ไม่เช่นนั้นรัฐจะไม่เคยเป็นปัญหาเลย แล้วเอาประชาชนมาเป็นเครื่องเล่น ว่าเดี๋ยวก็มีคนมาดูแล แล้วเอาตัวเองปลอดภัยไว้ก่อน ดังนั้นรัฐควรได้รับบทเรียน และเราจะเคลื่อนไหวไม่หยุด ถ้าจะเอาเรื่อง PrEP และ PEP ไปขายเป็นหน้าเป็นตาต่อชาวโลก ทั้งที่ไม่เพียงแต่ไม่สนับสนุนแถมยังขัดขวาง เราคงไม่ยอม และชาวโลกก็ต้องรับทราบเรื่องนี้ ตอนนี้เรามีการคุยภาคีเครือข่ายองค์กรระหว่างประเทศแล้ว ว่าภาพที่เห็น กับสิ่งที่เป็นจริงนั้นไม่ตรงกัน