ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ไทยเฝ้าระวังเข้มด่านชายแดน หลังข่าวกัมพูชาพบเด็ก 11 เสียชีวิตจากไข้หวัดนก ขณะที่บิดาติดเชื้อ เผย 2 มีนาคมนี้ อธิบดีคร.เป็นประธานนั่งประชุม One Health ถกหน่วยงานเกี่ยวข้องยกระดับมาตรการป้องกันในไทย ย้ำ! ปัจจุบันไทยไม่พบคนป่วยหวัดนกมานานกว่า 16 ปี ขณะนี้ก็ยังไม่พบเช่นกัน

 

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์  ที่กรมควบคุมโรค(คร.) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวถึงกรณีมีรายงานพบเด็กชาวกัมพูชาเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดนก ว่า สำหรับรายงานข่าวพบผู้ป่วยไข้หวัดนก H5N1 ที่ประเทศกัมพูชา โดยเป็นเด็กหญิงอายุ 11 ปี พบป่วยเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ และเสียชีวิตในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อเช้านี้พบว่า บิดาของผู้ป่วยรายนี้ติดเชื้อ แต่ไม่มีอาการ เนื่องจากข้อมูลเพิ่งเข้ามา จึงต้องติดตามอาการต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ที่พบมีผู้ป่วยไข้หวัดนก 2 รายในกัมพูชา ซึ่งได้แจ้งต่อองค์การอนามัยโลก และประเทศอื่นๆ แล้ว

นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า  อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานประเทศอื่นเช่นกัน อย่างปลายปี 2565 ที่ผ่านมาพบเด็กเสียชีวิตจากไข้หวัดนก 1 รายที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งจากการติดตามการระบาดของโรคพบว่า ส่วนใหญ่ติดมาจากสัตว์ปีกที่มีเชื้อไข้หวัดนกมาก่อน ส่วนรายกัมพูชาที่เป็นเด็กหญิงอายุ 11 ปี อาศัยอยู่ในจังหวัดไพรแวง ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกัมพูชา โดยอาการมีไข้ เจ็บคอ อาการทางเดินหายใจ ซึ่งความเสี่ยงยังพบในกลุ่มเด็ก เพราะมีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดสัตว์ปีก และอาจไม่ได้ระมัดระวังตัว

 “ประเทศไทยไม่เจอไข้หวัดนกมาตั้งแต่ปี 2549 แล้ว หรือคิดเป็น 16 ปีแล้ว เราไม่มีคนป่วยเป็นไข้หวัดนก แต่ส่วนใหญ่ยังรู้จักโรคนี้ และด้วยประสบการณ์ของเรา ระบบที่เราวางไว้ก็จะสามารถคัดกรอง ป้องกันได้ ซึ่งโรงพยาบาลต่างๆ ก็ยังคงมีระบบเฝ้าระวังเช่นเดิม สิ่งที่เป็นความเสี่ยง คือ การลักลอบนำเข้าสัตว์ปีกตามชายแดน ขอประชาชนงดนำสัตว์ปีกเข้ามาในไทย  ซึ่งมีกฎหมายควบคุมอยู่ ส่วนคนที่กลับมาจากประเทศที่มีการพบโรคมีการระบาด ขอให้สังเกตอาการตัวเอง หากมีไข้ หรืออาการทางเดินหายใจ เจ็บคอ มีน้ำมูกให้พบแพทย์ รวมทั้งการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือก็ยังช่วยป้องกันได้” รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

เมื่อถามว่ากรณีผู้ป่วยไข้หวัดนก ที่เป็นบิดาของเด็กหญิงที่เสียชีวิตที่กัมพูชา เป็นการติดเชื้อจากเด็กหญิงหรือจากสัตว์ปีก นพ.โสภณ กล่าวว่า ต้องขอดูข้อมูลการสอบสวนโรคของทางกัมพูชาก่อน แต่เบื้องต้นน่าจะมาจากการติดเชื้อจากการสัมผัสสัตว์ปีก ยังเป็นการติดเชื้อแบบสัตว์สู่คน

ผู้สื่อข่าวถามว่าเชื้อไข้หวัดนกที่พบมีความแตกต่างจากเดิมหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า เนื่องจากเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น จึงต้องขอรอดูข้อมูลการตรวจสอบว่า เชื้อสายพันธุ์ย่อยแตกต่างหรือไม่ แต่เท่าที่ทราบยังเป็น H5N1 ซึ่งเป็นเชื้อเดิมที่เคยเจอในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม ไข้หวัดนกมีอัตราป่วยตายสูง สมัยก่อนป่วยตาย 2 ใน 3 ต่อมาเหลือ 50% ซึ่งเฉลี่ยทั่วโลกรายงาน 870 ราย เสียชีวิต 457 ราย มากกว่า 50% เป็นข้อมูลที่องค์การอนามัยโลกรายงานเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดยเจอใน 21 ประเทศที่มีรายงาน ซึ่งไทยเคยเจอและรายงานไว้ทั้งหมด 25 ราย เสียชีวิต 17 ราย ประมาณ 2 ใน 3 แต่ปัจจุบันไทยยังไม่เจอ

“โดย 21 ประเทศที่เจอนั้น ก็มักเป็นประเทศที่อยู่ในแถบเส้นศูนย์สูตร อย่างไทย ก็เช่นกัน มีการเลี้ยงสัตว์ปีกเยอะ และช่วงอากาศเย็น หน้าหนาว หน้าฝนก็จะพบโรคได้ แต่ขอย้ำว่า ปัจจุบันไทยยังไม่พบ ซึ่งไม่พบมานานราว 16 ปี ขณะที่ประเทศแถบหนาวเจอเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยติดคน” นพ.โสภณ กล่าว

เมื่อถามว่าประเทศไทยจะมีการยกระดับการควบคุมโรคอย่างไร เพราะขณะนี้เจอในประเทศใกล้ไทย นพ.โสภณ กล่าวว่า กรณีกัมพูชา อยู่ห่างจากไทยเยอะพอสมควร แต่เรามีการยกระดับการควบคุมโรคแน่นอน โดยท่านอธิบดีกรมควบคุมโรคได้ย้ำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ช่องทางบกให้ยกระดับการเฝ้าระวังร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น กรมศุลกากร ด่านตรวจสัตว์ ด่านตรวจพืช ด่านควบคุมโรคติดต่อที่ดูแลคนเดินทาง ร่วมกันทำงานเพื่อเข้มงวดมากยิ่งขึ้น เฝ้าระวังทั้งสัตว์ คน จะมีระบบดูแลอยู่ อย่างของคร.ก็จะดูแลคน มีการวัดไข้ ดูอาการ ซักประวัติความเสี่ยง หากมีความเสี่ยงก็จะส่งตัวอย่างส่งตรวจ แยกคนเฝ้าระวัง หากนำเข้ามาก็ให้การดูแลรักษาต่อไป

เมื่อถามว่าต้องคัดกรองประเทศเสี่ยงเป็นพิเศษหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า จริงๆ ดูทั้งหมด แต่จุดไหนเสี่ยงมากก็ให้ความสำคัญเพิ่ม ซึ่งด่านกรมควบคุมโรคมีการดำเนินการอยู่แล้ว

“ในวันที่ 2 มีนาคมนี้ อธิบดีกรมควบคุมโรค ท่านจะเป็นประธานในการประชุมที่เรียกว่า การประสานงานสุขภาพหนึ่งเดียว หรือ One Health จะพูดคุยเรื่องไข้หวัดนก ทั้งการเฝ้าระวัง มาตรการควบคุมโรค ซึ่งปกติมีการพูดคุยตลอด แต่เมื่อมีกรณีข่าวไข้หวัดนก ก็จะมีการพูดคุยยกระดับมากขึ้น” รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

 

 

 

 

 *สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org