ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คาดการณ์ไข้หวัดใหญ่ กลับมาระบาดหลังโควิดคลี่คลาย ห่วงกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ-เด็ก แนะประชาชนป้องกันเชิงรุก สวมหน้ากากอนามัยและฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่  ปัจจุบันวัคซีนครอบคลุมทั้ง 3 และ 4 สายพันธุ์ รัฐบริการฟรี 6 ล้านโดส

 

 

คาดไข้หวัดใหญ่กลับมาระบาดหลังโควิด

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่  จัดเสวนา ‘ไข้หวัดใหญ่หายไปไหนในยุค COVID-19 และควรดูแลตัวเองอย่างไร’  โดย รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ กล่าวว่า  3 ปีที่ผ่านมาไข้หวัดใหญ่ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจเรื่องโควิดและมีการป้องกันตัวที่ดี เช่น การงดพบปะสังสรรค์ การสวมหน้ากากอนามัย การระวังเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นผลพลอยได้ ทำให้ป้องกันเชื้อโรคจากทางเดินหายใจต่างๆ ได้เกือบหมด แต่ในปัจจุบันที่สถานการณ์ต่างไป มีการกลับมาใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมตามปกติ ทำให้คาดว่าในประเทศไทยโรคไข้หวัดใหญ่น่าจะกลับมาแพร่ระบาดอย่างแน่นอน  

 

สถิติองค์การอนามัยโลกพบผู้ใหญ่-เด็กติด "หวัดใหญ่" สูง

ในประเทศไทยไข้หวัดใหญ่จะมีช่วงแพร่ระบาดในฤดูฝน ช่วงเดือน พ.ค. มิย. เป็นช่วงเวลาที่มีการบ่มเชื้อโรคมากที่สุด เพราะเป็นช่วงเปิดเทอม เด็กออกไปทำกิจกรรมใกล้ชิดกัน และกลับมาเป็นพาหะพาเชื้อสู่ครอบครัว ติดผู้สูงอายุในบ้าน เช่น ปู่ย่า ตายาย ดังนั้น 2 กลุ่มหลักที่ควรสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน คือ 1. กลุ่มเด็กที่จะเป็นกลุ่มติดเชื้อเยอะและเป็นแหล่งของการแพร่กระจาย  และ2. กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ปอด ไต และโรคสมอง เพื่อป้องกันการอันตรายถึงชีวิต

จากสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่าหากไม่มีการฉีดวัคซีนฯ ผู้ใหญ่จะมีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 5-10% ส่วนเด็กจะอยู่ที่ 20-30% ต่อปีของประชากรทั้งหมด โดยเมื่อคำนวณจากประชากรโลกที่มีทั้งสิ้น 7,000 ล้านคน แสดงว่าผู้ใหญ่ทั่วโลกอาจะติดไข้หวัดใหญ่ได้ถึง 700 ล้านคน และจำนวนนี้จะมีอาการป่วยหนักเข้านอนในโรงพยาบาล หรือเข้ารักษาใน ICU ประมาณ 5 ล้านคน และอัตราการเสียชีวิตประมาณ 5 แสนคน  ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่สูงมาก แต่หากเราสามารถให้วัคซีนกับคนทั่วโลกในทุกปี ได้ อัตราตัวเลขนี้ต่างๆ ก็จะลดลง

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

สำหรับประเทศไทย ในแต่ละปีจะมีการเตรียมวัคซีนแบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1.แบบที่ภาครัฐดำเนินการจัดหาให้ประชาชนฉีดฟรีประมาณ 6 ล้านโดส (ประชากรกลุ่มเสี่ยง กลุ่มประกันสังคม และบุคลากรทางการแพทย์) โดยเน้นไปที่กลุ่มเสี่ยงก่อน และ 2. ภาคเอกชนดำเนินการจัดซื้อเอง ประมาณ 3 ล้านโดส นั่นหมายถึงคนไทยจะได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละประมาณ 9 ล้านคน หรือคิดเป็น 12-14% ของประชากร  ซึ่งในปี 2565 ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัวประมาณ 13 ล้านคน หรือคิดเป็น 19% ของประชากรทั้งประเทศ การเตรียมวัคซีนจึงยังไม่เพียงพอต่อความต้องการทั้งในกลุ่มเด็กที่เป็นแหล่งแพร่ระบาด และกลุ่มผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป และยังรวมถึงกลุ่มเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน หลอดเลือดสมอง ปอดอุดกั้นเรื้อรัง จึงเป็นหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพของประชาชน และต้องเร่งดำเนินการมากขึ้น

 

(ข่าวเกี่ยวข้อง : คิกออฟ 1 พ.ค. 66 รณรงค์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี! เผยข้อมูลป่วยเพิ่ม! 10 จังหวัดติดเชื้อสูง)

           

 

ผู้สูงอายุเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่มากกว่าคนอายุน้อย 70 เท่า

ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร อาจารย์หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า  จากสถิติตัวเลขในประเทศไทยพบว่า ผู้สูงอายุเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่มากกว่าคนอายุน้อยถึงเกือบ 70 เท่า และผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังเมื่อป่วยไข้หวัดใหญ่และมีปอดอักเสบพบว่าเสียชีวิตมากกว่าคนอายุน้อยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังถึงเกือบ 30 เท่า  ทั้งนี้ สิ่งที่น่าห่วงอีกข้อคือ การทิ้งรอยโรคของผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่รุนแรงที่แม้เดิมจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี แต่เมื่อหายป่วยแล้วพบว่า บางรายมักจะมีอาการทรุดลง หรือที่เรียกทับศัพท์ว่า Deconditioning เช่น ช่วยเหลือตนเองได้ลดลงต้องมีผู้ดูแล หรือผู้สูงอายุที่เดิมช่วยเหลือตนเองไม่ค่อยได้อยู่แล้วหลังป่วยหนักทำให้เกิดภาวะผู้ป่วยติดเตียง   ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของผู้ป่วย แต่ยังกระทบผู้คนรอบข้างเช่นกัน

 

ดังนั้นหากเป็นไปได้ จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะดีที่สุดเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่จะนำไปสู่การป่วยรุนแรง โดยในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2 ชนิด คือ ชนิด 3 สายพันธุ์ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นวัคซีนที่ภาครัฐให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง และชนิด 4 สายพันธุ์ ที่ภาครัฐจัดเตรียมให้กับบุคลากรทางการแพทย์ สตรีตั้งครรภ์ และมีจำหน่ายโดยทั่วไปในโรงพยาบาลเอกชนและคลินิก โดยทั้ง 2 ชนิดให้ผลดี แต่อย่างไรก็ดีด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ วัคซีนแบบชนิด 4 สายพันธุ์มีการพัฒนาให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำมาใช้สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีจุดด้อยในร่างกาย คือ เมื่ออายุมากขึ้นการตอบสนองวัคซีนที่ใช้ทั่วไปต่ำกว่าคนอายุน้อย  

 

หวังให้ภาครัฐตระหนักถึงกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ นั่นคือมีการเพิ่มจำนวนการฉีด ขยายการฉีดวัคซีนให้เป็นแบบ 4 สายพันธุ์ และเพิ่มงบประมาณการฉีดวัคซีนสู่ประชากรวัยแรงงาน เพื่อเป็นหลักประกันด้านสุขภาพให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรง เป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งหากไม่มีการฉีดวัคซีนที่เพียงพอและเกิดการแพร่ระบาด ประเทศไทยจะสูญเสียโอกาส และสูญเสียทรัพยากรกับค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษามากเสียยิ่งกว่าการป้องกัน ตามหลักการคำนวณด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข 

 

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org