รพ.พระอาจารย์ฝั้นฯ สกลนคร เผยผลศึกษาต้นแบบ “ตำรับยาแก้องคชาตตาย” สมุนไพร 8 ชนิด มีกัญชาส่วนผสมหลัก ชี้เป็นงานวิจัยทางการแพทย์ช่วยลดปัญหาเซ็กซ์เสื่อม พบชายไทยป่วยอายุน้อยลง ผลติดตาม 1 เดือนอาการดีขึ้น เตือน! อย่าหลงเชื่อเพจหลอกขายสูตรยา ปัจจุบันไม่มีจำหน่าย อยู่ในขั้นศึกษาวิจัย
ตามที่สำนักข่าวออนไลน์ Hfocus ได้นำเสนอการศึกษาวิจัยตำรับ “ยาแก้องคชาตตาย” ของโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร จ.สกลนคร ซึ่งมีการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านสมุนไพรภายในงาน “มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ” ครั้งที่ 20 เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2566 ที่ผ่านมา โดยเป็นตำรับสมุนไพร 8 ชนิด มีกัญชา เป็นองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งแม้ปัจจุบันรัฐบาลกำลังพิจารณานโยบายกัญชา ว่า อาจนำกลับเข้าสู่ยาเสพติด ยกเว้นการนำมาใช้ทางการแพทย์และสุขภาพ หมายความว่า “กัญชาทางการแพทย์” ยังคงเหมือนเดิมนั้น
(ข่าวเกี่ยวข้อง: รพ.พระอาจารย์ฝั้นฯ สกลนคร ชูการศึกษา “ยาแก้องคชาตตาย”)
ล่าสุดผู้สื่อข่าว Hfocus ได้ติดตามความคืบหน้าการศึกษาดังกล่าว..
ภก.ศศิพงค์ ทิพย์รัชดาพร เภสัชกรชำนาญการพิเศษ รพ.พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร จ.สกลนคร ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมา รพ.พระอาจารย์ฝั้นฯ ได้ทำการศึกษาวิจัยตำรับยาแก้องคชาตตาย ซึ่งเป็นชื่อในตำรับยาเกร็ด หมวดเวชศาสตร์ จากสมบัติเดิมของหอสมุดแห่งชาติ ในการแก้อาการหรือภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ที่คนโบราณมีการใช้มาตลอดด้วยการนำสมุนไพร 8 ตัวมาเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ดีปลี ชะพลู พริกชี้ฟ้า ขิง ลูกจันทน์ กระวาน รากสะแก และกัญชา โดยสัดส่วนจะเป็นกัญชาถึง 50% และสมุนไพรอีก 7 ตัวที่เหลือจะใช้สัดส่วนในอัตราที่เท่าๆ กัน
“การใช้สัดส่วนกัญชา มากสุด เนื่องจากในตำรับยาระบุว่า กัญชา เท่ากับยาทั้งหลาย แปลว่า กัญชาจะต้องใช้สัดส่วนเท่ากับทุกตัวรวมกัน ซึ่งสมุนไพร 7 ตัวใช้อย่างละ 1 ส่วน ดังนั้น กัญชาจึงต้องใช้เท่ากับ 7 ส่วน คิดเป็น 50% ของน้ำหนักยาทั้งหมด จากนั้นนำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอน แต่ที่ศึกษาวิจัยเราทำเป็นแคปซูล เพื่อให้ปริมาณได้ตามตำราระบุว่า ต้องกินครั้งละ 1-1.5 กรัม วันละ 2 ครั้งก่อนอาหารเช้าและก่อนนอน แต่ในการผลิตเราทำเป็นแคปซูลก็จะให้กินวันละ 2-3 แคปซูล ซึ่งสามารถกินแบบแคปซูล หรือแกะออกมาเพื่อผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนก็ได้”ภก.ศศิพงค์ กล่าว
กลุ่มตัวอย่างอาการดีขึ้น หลังใช้ “ตำรับแก้องคชาตตาย”
ภก.ศศิพงค์ อธิบายเพิ่มเติมว่า สำหรับการศึกษาวิจัยต้นแบบ หรือหรือ Pilot Plant ได้ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 100 คน ช่วงอายุตั้งแต่ 25 -70 ปี โดยได้ติดตามผลการศึกษาไพลอตแพลนแล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา พบว่า คนไข้ที่ใช้ตำรับยาดังกล่าว 96 คนมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ซึ่งก่อนเข้าสู่โครงการศึกษาฯ ได้มีการประเมินในเรื่องของการแข็งตัวขององคชาติก่อนจะรับประทานตำรับยานี้ และหลังจากรับประทานยา รวมไปถึงประเมินสมรรถภาพทางเพศโดยรวม ซึ่งทั้งสองเกณฑ์ ได้ใช้แบบประเมินที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการให้คะแนนเรื่องความแข็งตัวขององคชาต ตั้งแต่ระดับ 0 คะแนนที่ไม่ขยายตัว จนถึงระดับ 4 คะแนน ที่ขยายขนาดแข็งขึ้น สอดใส่ได้เต็มที่
ทั้งนี้ ในการศึกษาวิจัยติดตามเป็นเวลา 1 เดือน โดยให้รับประทานยาต่อเนื่อง พบว่า กลุ่มทานยา 1 เดือนส่วนใหญ่อวัยวะเพศมีอาการแข็งตัวดีขึ้น ด้วยการประเมิน 0 คะแนนถึง 4 คะแนน แบ่งดังนี้ 0 คะแนน ไม่แข็งตัวเลย ตื่นมาตอนเช้าก็ไม่มีการขยายตัว, 1 คะแนน อวัยวะเพศมีการขยายตัว แต่ไม่แข็งตัว หมายถึงอาจขยายขึ้นบ้าง แต่ไม่แข็ง, 2 คะแนน อวัยวะเพศขยายตัว แข็งตัวอยู่แต่สอดใส่ในช่องคลอดไม่ได้, 3 คะแนน อวัยวะเพศขยายตัว แข็งตัว สอดใส่ได้ แต่แข็งตัวไม่เต็มที่ และ 4 คะแนน เข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างก่อนศึกษาจะอยู่ที่คะแนน 0-3
เฟสสองขยายกลุ่มตัวอย่าง 300 คนเดือน มิ.ย.นี้
“จากการติดตาม 1 เดือนพบว่า ส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น อย่างผู้ป่วยที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวเลย เมื่อรับประทานยาไป 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือนอวัยวะเพศเริ่มขยายตัวขึ้น โดยเฉลี่ยแต่ละกลุ่มอาการจะเริ่มดีขึ้น ไต่ระดับจาก 0 คะแนน เป็น 1 คะแนน เป็นต้น ที่สำคัญกลุ่มตัวอย่างเคยให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้าเข้าโครงการเคยกินยาแผนปัจจุบันอื่นๆ แต่เมื่อเข้าโครงการได้หยุดไปสักระยะ และระหว่างกินยาตำรับแผนไทยฯ ก็ไม่กินยาอื่นๆ ทำให้ผลเบื้องต้นถือว่าอยู่ในระดับน่าพอใจ แต่เพื่อความชัดเจน ขณะนี้เตรียมขยายโครงการวิจัยเพิ่มเติมในผู้ป่วย 300 คน” ภก.ศศิพงค์กล่าว
ภก.ศศิพงค์ ขยายความว่า สำหรับการศึกษาเฟสต่อไปที่จะติดตามผู้ป่วย 300 คนนั้น ขณะนี้ได้ทำเรื่องขอคณะกรรมการศึกษาวิจัยในมนุษย์แล้ว อยู่ระหว่างนำเสนอข้อมูลเพื่อของบประมาณ คาดว่าจะเริ่มศึกษาต่อเนื่องได้ในเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งข้อมูลจากการศึกษาวิจัยจะช่วยสนับสนุนว่า สามารถนำมาใช้เป็นอีกทางเลือกในการแก้ปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ อย่างไรก็ตาม แต่ต้องย้ำว่า การใช้ยาสมุนไพรไทย จะเน้นในเรื่องการปรับสมดุลธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย ซึ่งอาจต้องใช้เวลา ไม่เหมือนกับยาแก้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศแผนปัจจุบัน บางยี่ห้อที่กินแล้วดีขึ้นเลย แต่ต้องกินตลอด ซึ่งก็มีข้อควรระวัง อย่างผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
กลุ่มเลี่ยงใช้ “ตำรับยาแก้องคชาตตาย”
“สำหรับตำรับยาแก้องคชาตตายนั้น ก็มีข้อควรระวัง โดยก่อนรับประทานได้คัดกลุ่มที่ไม่สามารถกินยานี้ได้ คือ ผู้ป่วยโรคหัวใจ กลุ่มที่มีปัญหาเรื่องหลอดเลือด รวมไปถึงผู้ป่วยที่รับประทานยาบางกลุ่ม เช่น ยากันชัก ยาขยายหลอดลม หรือกลุ่มที่มีโอกาสยาจะไปตีกันกับยาแผนปัจจุบันต้องหลีกเลี่ยงในการใช้ ซึ่งการจะจ่ายยาตัวนี้แพทย์หรือแพทย์แผนไทยต้องประเมินก่อนว่าสามารถรับประทานได้ ขณะเดียวกันในเรื่องการตรวจค่าตับไต มีการดำเนินการเช่นกัน โดยมีการเจาะเลือดทั้งก่อนและหลังกินยา ซึ่งไม่พบค่าตับไตผิดปกติแต่อย่างใด” ภก.ศศิพงค์กล่าว
ส่วนผลข้างเคียงนั้น เนื่องจากตำรับยานี้เป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อน ไม่ว่าจะเป็นพริกชี้ฟ้า ดีปลี ชะพลู ขิง ลูกจันทน์ ฯลฯ ซึ่งอาการข้างเคียงที่เจอคือ จะทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบ และมีอาการง่วงนอนจากฤทธิ์กัญชา เวียนศีรษะบ้าง แสบร้อนกลางอกบ้าง 1-2 ราย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องกินตำรับยาแก้องคชาตตายไปจนถึงเมื่อไหร่ ภก.ศศิพงค์ กล่าวว่า จากผลการติดตาม 1 เดือน อาการเริ่มดีขึ้น แต่จะต้องใช้เวลาถึงเท่าไหร่ จึงนำไปสู่การศึกษาวิจัยติดตามต่อเนื่องอีก 3 เดือน รวมไปถึงต้องตรวจค่าตับไตเพิ่มเติมอีก เพื่อให้มีข้อมูลจากการศึกษาเพิ่มเติม สนับสนุนประสิทธิผลจากการติดตาม 1 เดือน อย่างไรก็ตาม อาการภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หรืออาการองคชาตตายนั้น มีหลายปัจจัย การกินยาเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยได้ แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น การพักผ่อนนอนหลับ การออกกำลังกาย ความเครียด อาหารการกิน
“อย่างสมุนไพรเหล่านี้ ไม่รวมกัญชา หลายอย่างเราสามารถนำมาประกอบอาหารได้ อย่าง พริกชี้ฟ้า ชะพลู รวมไปถึงพริกต่างๆ ที่มีฤทธิ์ร้อน จะช่วยเลือดลมดี หากกินอาหารเหล่านี้ และต้องกินอย่างหลากหลายก็จะเป็นอีกปัจจัยเสริม แต่หากมีภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศมาก อยากให้มาปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด สำหรับที่รพ.พระอาจารย์ฝั้นฯ ปัจจุบันมีผู้ติดต่อสอบถามมาเยอะ และอยากเข้าร่วมโครงการเฟสสอง ซึ่งเราก็เก็บข้อมูล เพื่อคัดเลือกต่อไป” เภสัชกรชำนาญการพิเศษ ผู้ศึกษาวิจัยฯ กล่าว
อายุน้อยก็เสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเพราะอะไรกลุ่มตัวอย่างมีอายุน้อย แต่มีภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศแล้ว ภก.ศศิพงค์ กล่าวว่า ข้อมูลที่ผ่านมาส่วนใหญ่พบว่า ช่วงอายุที่เริ่มมีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศจะอยู่ที่ 35 ปี แต่จริงๆ ยังพบได้ในกลุ่มอายุน้อยกว่านั้น จึงกำหนดภาพกว้า
อย่าหลงเชื่อเพจหลอกขายตำรับยา ปัจจุบันไม่มีจำหน่าย
“ขอย้ำว่าสูตรตำรับยาแก้องคชาตตายนั้น เป็นตำรับยาโบราณที่ใช้กันมานาน มีระบุไว้ในตำรับยาเกร็ด จากสมบัติเดิมของหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้กำลังขยายกลุ่มตัวอย่างเพื่อศึกษาวิจัยเพิ่มเติม และสูตรยาดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้การใช้โดยแพทย์ ซึ่งที่รพ.พระอาจารย์ฝั้นฯ เรากำลังศึกษาวิจัย ไม่ได้มีจำหน่าย และขอให้ประชาชนที่ประสบปัญหา อย่าไปหลงเชื่อมีผู้ไม่หวังดี เอาข้อมูลและภาพจากรพ. ไปหลอกลวงขายยา ซึ่งอันตรายมาก อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยให้สอบถามมาที่ รพ.ได้ ส่วนใครมีปัญหาสามารถมาปรึกษาอาการได้” ภก.ศศิพงค์ กล่าวทิ้งท้าย
- 4040 views