ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ปลัดสธ.หนุนทุกจังหวัดเกิดศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก ร่วมกับ รร.แพทย์ หวังผลิตหมอคืนถิ่น พัฒนาศักยภาพอาจารย์ผู้สอน ดันเป็นศูนย์วิจัยทางคลินิกระดับโลกในอนาคต เดินหน้ายกระดับ 30 บ.รักษาทุกที่ด้วยบัตรปชช.ใบเดียว หวังเพิ่มอายุขัยคนไทย

 

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  กล่าวตอนหนึ่งในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการผลิตแพทย์ของโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบทร่วม 16 มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่า

ความฝันของตนคืออยากให้โรงพยาบาลศูนย์เป็นศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก  โดยมี 3 วัตถุประสงค์ที่กระทรวงสาธารณสุขคาดหวัง คือ

 

ข้อ1 หากมีศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกอยู่ในพื้นที่ อย่างเชียงใหม่ เราสามารถดึงคนในพื้นที่ ฝึกนักศึกษาแพทย์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้กลับมาเป็นแพทย์ประจำอยู่ในจังหวัดหรือบ้านเกิดตัวเอง พวกเขาก็จะอยู่ได้นาน  ซึ่งโรงพยาบาลในสังกัดอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง สามารถเปิดเป็นศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกหรือร่วมมือกับคณะแพทย์เพื่อให้เด็กในท้องถิ่นได้เรียนได้ฝึกอบรมและกลับมาดูแลรักษาคนในพื้นที่ได้

 

ข้อ 2 การที่อาจารย์แพทย์ได้มาช่วยเปิดการเรียนการสอน จะทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจและตั้งใจหาความรู้ความรู้เพิ่มเติม ไปสอนเด็กเพราะการสอนเด็กคนหนึ่ง ครูผู้สอนต้องเก่งกว่าเด็กอย่างน้อยต้องรู้มากกว่า 2-3 เท่า ตรงนี้จะช่วยให้แพทย์ในโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น เป็นการช่วยพัฒนาบุคลากรไปในตัว

 

ข้อ 3 ประเทศไทยมีแหล่งเรียนรู้แหล่งวิจัยทางคลินิกที่ใหญ่มาก  อย่างเดิมเวลาจะเรียนรู้หรือศึกษาวิจัยอะไรใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะไปคอนแทคกับมหาวิทยาลัยโดยตรง  บางทีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งอาจไม่พอจึงต้องการความร่วมมือในระดับคลินิกที่เป็นสเกลใหญ่มากขึ้น  ตรงนี้จะทำให้อุตสาหกรรมการแพทย์ชั้นสูงเป็นไปอย่างก้าวกระโดด จึงหวังว่าศูนย์แพทยศาสตรศึกษาฯและโรงเรียนแพทย์จะเป็นแหล่งต่อยอด รวมไปถึงเป็นศูนย์วิจัยทางคลินิกระดับโลกได้ในอนาคต

นอกจากนี้ นพ.โอภาส ยังกล่าวถึงนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข ที่สื่อสารไปยังโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ คือ การยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ว่า การยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ หมายถึงการยกระดับการบริการของประชาชน ส่วนบัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่  ในส่วนโรงพยาบาลในกระทรวงสาธารณสุขได้ปรับตัวเองเป็นดิจิทัล อย่างการบันทึกทุกอย่างจะเป็นดิจิทัลทั้งหมด และการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดของกระทรวงสาธารณสุขไปอยู่ในระบบคลาวด์ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบสาธารณสุข โดยขณะนี้ เข้าใจว่ามหาวิทยาลัยสุราษฎร์ธานีได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา แล้ว

 

ส่วนเรื่องการยกระดับบริการประชาชนนั้นกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดการให้บริการไว้ 4 ระดับ คือ

1.การปรับโฉมโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวง อย่างโรงพยาบาลศูนย์(รพศ.) โรงพยาบาลชุมชน(รพช.)  ขณะนี้หลายโรงพยาบาลมีการดำเนินการแล้ว เช่น โรงพยาบาลน่าน,เชียงราย, ลำปาง และน่าน เป็นต้น

2.ยกระดับการให้บริการ ด้วยหัวใจ อย่างCareD+

3.ยกระดับเทคโนโลยีต้องมีเครื่องมือที่ทันสมัย

4.เรื่องกำลังคน การเงินและการเชื่อมระบบข้อมูลเพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน

 

ทั้งนี้ ยังมีตัวชี้วัดที่สำคัญที่จะต้องทำร่วมกันคือ การอัปเกรดอายุขัยคนไทยให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 0.5-1ปี ในทุกปี