ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คมชัดลึก - สธ.ห่วงผู้สูงอายุ 9 ล้าน ทนสภาพอากาศหนาวไม่ไหว แนะสวมเสื้อผ้าอบอุ่นร่างกายตลอด เหตุระบบประสาทรับรู้ที่ความหนาวเย็นที่ผิวหนังลดลง ส่งผลประสาทควบคุมหลอดเลือดที่ผิวหนังเสื่อมสภาพลง ชี้อันตรายขั้นเสียชีวิต

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พญ.พรรณพิมล วิปุลากร โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สภาพอากาศหนาวเย็นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือขณะนี้ ประชาชนจะเสี่ยงเจ็บป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวมได้ง่าย เนื่องจากเชื้อไวรัสเจริญเติบโตได้ดี ที่น่าห่วงคือ กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งขณะนี้ทั่วประเทศมีประมาณ 9 ล้านคน และส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 50 มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน

พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า ภัยของสภาพอากาศที่หนาวเย็น จะเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้สูงอายุ จึงขอให้หลีกเลี่ยงการโต้ลมหนาว ควรดูแลความอบอุ่นร่างกายเป็นกรณีพิเศษ สวมเสื้อผ้าที่มีความหนา หรือเครื่องกันหนาวอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะเวลากลางคืน เนื่องจากระบบประสาทรับรู้ความหนาวเย็นที่ผิวหนังของผู้สูงอายุจะมีความไวลดลง ไม่สามารถตอบสนองต่อความเย็นของอากาศรอบตัวด้วยการหนาวสั่น หรือการหดตัวของกล้ามเนื้อ เพื่อให้เกิดความอบอุ่นในร่างกายได้ดีเหมือนในคนวัยหนุ่มสาว รวมทั้งระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหลอดเลือดที่ผิวหนัง เพื่อไม่ให้ความร้อนสูญเสียออกจากร่างกาย ก็เสื่อมลงตามอายุขัย ดังนั้น หากปล่อยให้อุณหภูมิของร่างกายลดลงมากผิดปกติจะมีผลทำให้เลือดมีสภาพหนืดข้นและเส้นเลือดหดตัว ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดในร่างกายไม่ดี หัวใจต้องทำงานเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายหนักขึ้น อาจทำให้ผู้สูงอายุเสียชีวิตได้

"การรักษาความอบอุ่นให้ร่างกาย บุตรหลานควรดูแลให้ผู้สูงอายุสวมเสื้อผ้าหนาๆ หรือเครื่องกันหนาว เพื่อสร้างความอบอุ่นร่างกายอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะบริเวณที่สำคัญ 3 ส่วน จะต้องดูแลเป็นพิเศษ ได้แก่ 1.หน้าอก ซึ่งมีหัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย 2.ลำคอในที่ที่หนาวมากควรใช้พันผ้าพันคอ และ 3.ที่ศีรษะ ควรสวมหมวกเพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย" โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของประชาชนทั่วไป ขอให้รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างเพียงพอและครบหมู่ เพิ่มอาหารประเภทแป้งและไขมันเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย ยกเว้นผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำธรรมดาบ่อยๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที และพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ตรากตรำทำงานหนักจนเกินไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก  วันที่ 3 ธันวาคม 2556