ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ข่าวสด - นายเรย์-ยู หยาง นักโภชนาการจากศูนย์พืชผักโลก ประเทศไต้หวัน กล่าวภายในงานประชุมวิชาการแห่งชาติด้านอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพ ครั้งที่ 1 โดยสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ภาคีข่ายด้านอาหารและโภชนาการ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า ในรอบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมอาหารและการค้าเสรีตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศ ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางโภชนาการของคนเรา ประชากรโลกหันไปรับประทานอาหารสะดวกซื้อ (ฟาสต์ฟู้ด) ที่มีปริมาณไขมันมาก ให้พลังงานสูง และมีคุณค่าทางโภชนาการน้อย เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นผลให้ประชากรโลกเจ็บป่วยด้วยโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นตามมา

"งานวิจัยหลายชิ้นพิสูจน์ว่า การกินผักและผลไม้ทุกวันอย่างน้อย 5 ส่วน หรือ 400 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยลดอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและโรคมะเร็งต่างๆ ได้ ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกแนะนำไว้ว่า เพื่อสุขภาพที่ดีควรบริโภคผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม หรือเท่ากับ 5 ส่วนมาตรฐาน คือ ผัก 3 ส่วน ผลไม้ 2 ส่วน หรือตามข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย และธงโภชนาการว่า แต่ละมื้อควรกินผักอย่างน้อย มื้อละ 2 ทัพพี และผลไม้มื้อละ 1 ส่วน" นายเรย์-ยูกล่าว

นายเรย์-ยู  กล่าวว่า หากไม่มีกระบวนการในการสร้างเครือข่าย เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของการกินผักและผลไม้จริงจัง ย่อมส่งผลให้ประชาชนอาจป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่เราป้องกันได้ ซึ่งการทำให้ประชาชนไม่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังจะช่วยลดต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล รวมถึงรายได้ในการรักษาพยาบาลส่วนบุคคลด้วย หากแต่ประชากรส่วนใหญ่ทั่วโลก ยังบริโภคผักผลไม้ไม่เพียงพอต่อปริมาณดังกล่าว ฉะนั้น หากต้องการขับเคลื่อนงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพด้วยโภชนาการ ต้องสร้างความตระหนักเพื่อให้ประชากรโลกเห็นคุณค่าการกินผักผลไม้

ที่มา--ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 ก.พ. 2557 (กรอบบ่าย)--

เรื่องที่เกี่ยวข้อง