ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี  กรมการแพทย์ร่วมมือกับหลายภาคส่วนปกป้องเด็กและครอบครัว  ห่างไกลจากพิษสารตะกั่ว  พร้อมทบทวนการเฝ้าระวังการสัมผัสสารตะกั่วในเด็กไทยอย่างเป็นระบบ

25 ก.ย.57 ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “รวมพลังปกป้องเด็กไทย ห่างไกลพิษสารตะกั่ว” ว่า องค์การอนามัยโลก ศูนย์ควบคุมโรค แห่งสหรัฐอเมริกา และสมาคมกุมารแพทย์ของสหรัฐอเมริกา กำหนดว่าระดับสารตะกั่วในเลือดที่ยอมรับได้สำหรับเด็ก ต้องมีค่าน้อยกว่า 10 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ข้อมูลปัจจุบันพบว่าค่าระดับสารตะกั่วในเด็กโดยเฉพาะเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 6 ปี เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับผลกระทบจากพิษของสารตะกั่ว เพราะเด็กเล็กสามารถดูดซึมสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายถึง 50% เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ที่ดูดซึมเพียงแค่ 10-15% กรมการแพทย์โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ในฐานะองค์กรที่ดูแลสุขภาพของเด็กไทยในทุกมิติ  มีบทบาทและหน้าที่รักษาส่งเสริมสุขภาพ และปกป้องเด็กให้ปลอดภัยจากโรคภัยต่างๆ

จึงได้จัดงาน “รวมพลังปกป้องเด็กไทย ห่างไกลพิษสารตะกั่ว” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กไทยมีโอกาสเติบโตอย่างมีคุณภาพและเต็มศักยภาพ  ประชาชนทั่วไปในชุมชนมีความรู้ ในการดูแลสุขภาพตนเองให้ห่างไกลจากการสัมผัสสารตะกั่ว รวมทั้งสร้างเครือข่ายระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการทำงานร่วมกันเพื่อปกป้องเด็กและครอบครัวห่างไกลพิษสารตะกั่ว เช่น กรมต่างๆ ภายในกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อรวบรวมปัญหาพิษสารตะกั่วของประเทศไทยและแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และพัฒนาคู่มือแนวทางการดูแลรักษาเด็กและผู้ใหญ่ที่มีการสัมผัสสารตะกั่ว ตลอดจนพัฒนาเครื่องมือแบบสอบถาม เพื่อค้นหากลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารตะกั่ว             

รศ.พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า โครงการปกป้องเด็กและครอบครัว ห่างไกลพิษสารตะกั่ว เป็นหนึ่งในโครงการที่ดำเนินการภายใต้โครงการหลักของกระทรวงสาธารณสุข คือ “โครงการอาหารปลอดภัยเด็กไทยฉลาด” เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 ซึ่งทำต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เป็นงานเชิงรุกด้านสาธารณสุขที่ขนาดปัญหาไม่ใหญ่ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากพิษสารตะกั่วนั้นรุนแรง เมื่อเด็กได้รับสารพิษจากตะกั่วเข้าไปแล้วจะส่งผลเสียชัดเจนต่อร่างกายและระดับสติปัญญา โดยเฉพาะสมองที่กำลังพัฒนาจะไม่สามารถกลับคืนเป็นปกติได้ ทำให้ไอคิวต่ำ และถ้าได้รับในปริมาณสูงจะมีผลต่อสมอง ตับ และไต ทำให้มีอาการซีด ชัก และเสียชีวิต นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์ที่สัมผัสสารตะกั่วมีความเสี่ยงที่จะแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือลูกมีน้ำหนักตัวน้อย  

ซึ่งการทำงานปีแรก เริ่มด้วยการทบทวนความรู้  ผลิตสื่อรณรงค์ให้ความรู้แก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และเด็กๆ เพื่อให้ตระหนักถึงพิษภัยของสารตะกั่ว โดยร่วมกับ กรมอนามัยแจกสื่อ VCD เกม โปสเตอร์ แผ่นพับ โดยมอบให้โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจำนวน 926 แห่งทั่วประเทศ การทำงานในระยะที่ 2 (พ.ศ. 2553-2555) เป็นการทำงาน  ในพื้นที่ที่มีรายงานว่า มีเด็กไทยมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารตะกั่ว ที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก โดยทำการสำรวจสถานการณ์การสัมผัสสารตะกั่วจำนวน 2 ครั้ง เพื่อทราบสถานการณ์ที่แท้จริงและนำเสนอข้อมูลเหล่านี้เพื่อให้ทราบว่า เด็กไทยในบางพื้นที่ยังมีความเสี่ยงต่อพิษของสารตะกั่ว และเพื่อสร้างเครือข่ายการทำงานด้านสุขภาพแบบยั่งยืน ระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค  และการทำงานในช่วงสุดท้าย (พ.ศ. 2556-2557)  เป็นการทำงานเพื่อสรุปเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายงานด้านวิชาการ และมีการเฝ้าระวังการสัมผัสสารตะกั่วในเด็กไทยอย่างเป็นระบบ  

ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุข เสนอให้ตรวจคัดกรองหาระดับตะกั่วในเลือดในเด็กอายุ 6 เดือน - 2 ปี เฉพาะกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการสัมผัสสารตะกั่ว เพื่อให้เด็กไทยมีต้นทุนสมองและต้นทุนสุขภาพที่ดีและเป็นต้นทุนอันมีค่ายิ่งของประเทศต่อไป

สำหรับขอแนะนำให้ดูแลเด็กให้ห่างไกลพิษสารตะกั่วเบื้องต้น คือ ควรเลือกใช้สีน้ำทาภายในตัวบ้านแทนการใช้สีน้ำมัน  สีที่ใช้ควรมีปริมาณตะกั่วไม่เกิน 90-100 ppm ดูแลเด็กไม่ให้เล่นเครื่องเล่น ของเล่นที่สีหลุดร่อน ล้างมือให้สะอาดก่อนปรุงอาหารและก่อนรับประทานอาหาร ตลอดจนดูแลเด็กให้ได้รับสารอาหารครบทุกหมวดหมู่ โดยเฉพาะผักใบเขียว ผลไม้ นมสด ปลาเล็กปลาน้อย เนื้อแดง เพราะสารอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารตะกั่วได้น้อยลง