ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

The Guardian รายงานความวิตกกังวลของชาวอเมริกันหลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มต้นวาระบนเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนใหม่ด้วยการรื้อนโยบายสุขภาพของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาโดยคำสั่งระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีแผนจะ “ปรับปรุง” กฎหมายดังกล่าวจึงให้กระทรวงบริการด้านสุขภาพและมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกาและหน่วยงานอื่นของรัฐบาลกลางชะลอการดำเนินมาตรการที่มีต้นทุนทางเศรษฐกิจไปก่อน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าก่อนหน้านี้ชาวอเมริกันจะได้การสนับสนุนจากกฎหมายประกันสุขภาพโอบามาแคร์ แต่ชาวอเมริกันจำนวนมากก็ยังหนีไม่พ้นภาระค่ารักษาพยาบาล หนำซ้ำยังมีแนวโน้มที่สถานการณ์อาจเลวร้ายลงกว่าเดิม

แมกกี คูดีร์กา นักบัลเลต์สาววัย 25 ปีตั้งกองทุนขอรับบริจาคค่ารักษามะเร็งเต้านม ภาพ: แอนดริว โฮลซ์

แอลโดนา คูดีร์กา สวดอ้อนวอนทุกคืนให้แมกกีผู้เป็นลูกสาวยังคงมีประกันสุขภาพในปี 2561 แต่หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์นั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการก็มีแต่จะทำให้ผู้เป็นแม่ยิ่งทวีความกังวล เพราะถึงจะเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวขนาดย่อมและสมทบเงินเข้าโครงการเพื่อให้ได้สิทธิลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่สูงลิ่ว แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอกับค่าเบี้ยประกันที่สูงถึงเดือนละ 1,200 ดอลลาร์ (ราว 42,360 บาท)

เมื่อแมกกีตรวจพบมะเร็งเต้านมระยะที่ 4 เมื่อเดือนมิถุนายน 2557 ขณะอายุได้ 23 ปีครอบครัวคูดีร์กาก็ตัดสินใจบากหน้าไปหาญาติ เพื่อน และคนแปลกหน้าบนอินเตอร์เน็ตเพื่อขอบริจาคเงินค่ารักษาจำนวน 45,000 ดอลลาร์ (ราว 1.58 ล้านบาท) ซึ่งความอับอายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ครอบครัวคูดีร์กาและอีกหลายครอบครัวหวั่นเกรงว่าจะเกิดขึ้นหากประธานาธิบดีทรัมป์รื้อกฎหมายสุขภาพของรัฐบาลก่อนเป็นผลสำเร็จ เพราะนั่นอาจหมายถึงภาระค่ารักษาที่จะยิ่งถีบตัวสูงขึ้น   

แมกกี คูดีร์กา: การขอบริจาคทางอินเตอร์เน็ตช่วยสมทบค่ารักษามะเร็ง 45,000 ดอลลาร์ ภาพ: ได้รับความอนุเคราะห์จากแมกกี คูดีร์กา

แม้ทรัมป์เปรยว่าเขาจะยังคงบางส่วนของประกันสุขภาพโอบามาแคร์ไว้ ซึ่งรวมถึงค่ารักษาของบุตรอายุไม่เกิน 26 ปีและสิทธิค่ารักษาโรคที่เกิดขึ้นก่อนอายุ 26 ปี แต่ก็ไม่แน่ชัดว่าผลลัพธ์จากการหารือระหว่างทรัมป์และสภาคองเกรสจะออกมาในทิศทางใด  โดยผู้สันทัดกรณีชี้ว่า หากปราศจากความคุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนแล้วก็อาจส่งผลให้ชาวอเมริกัน 52.2 ล้านคนไม่สามารถเข้าถึงประกันสุขภาพ ส่วนผู้ที่เป็นโรคก่อนอายุ 26 ปีซึ่งได้รับประกันสุขภาพก็อาจต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้น

สเตฟอน อเล็กซานเดอร์ แร๊ปเปอร์หนุ่มวัย 35 ปีก็เป็นคนหนึ่งที่ประกันสุขภาพโอบามาแคร์ช่วยให้เขาเข้าถึงการรักษาโรคไตซึ่งตรวจพบมาตั้งแต่เมื่ออายุ 15 ปีผ่านเมดิแคร์อันเป็นโครงการประกันสุขภาพโดยรัฐบาลกลางสำหรับผู้มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปหรือมีภาวะบกพร่องจำเพาะ อเล็กซานเดอร์เผยว่ากฎหมายประกันสุขภาพช่วยให้เขาได้เข้ารับการล้างไตทันเวลา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงต้องเสียค่าล้างไตเป็นเงินก้อนโตจนเพื่อนในก๊วนแร๊ปเปอร์ดูมทรีต้องช่วยกันเรี่ยไรค่ารักษาทางอินเตอร์เน็ตจนได้เงินทะลุเป้า

ก๊วนแร๊ปเปอร์ดูมทรีช่วยกันขอบริจาคค่ารักษาแก่สเตฟอน อเล็กซานเดอร์ ภาพ: เนต ไรอัน/ดูมทรี

ทุกวันนี้อเล็กซานเดอร์ยังคงต้องรับประทานยาวันละ 26 เม็ดเพื่อกดภูมิไม่ให้ต่อต้านไตที่ได้รับบริจาค ขณะเดียวกันก็ต้องจ่ายค่าเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ไปในการล้างไต รวมถึงเครื่องมือที่ยังไม่ได้เปิดใช้แต่ไม่สามารถส่งคืนได้ ซึ่งทำให้เขาวิตกว่าหากรัฐบาลชุดใหม่ลุยรื้อกฎหมายประกันสุขภาพก็จะทำให้เขาเป็นหนี้ค่ายาก้อนโตภายในพริบตา

แม้ทรัมป์เผยก่อนหน้านี้ว่าเขาจะไม่แตะต้องเมดิแคร์ และมีแผน “ประกันสุขภาพสำหรับทุกคน” ทว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงในคณะบริหารของทรัมป์ยังไม่ปฏิเสธชัดๆ ว่าจะรื้อเมดิแคร์หรือไม่ อีกด้านหนึ่งบทวิเคราะห์โดยสำนักบัญชีสภาคองเกรสชี้ว่า การรื้อโอบามาแคร์โดยไร้มาตรการรองรับจะทำให้ชาวอเมริกัน 18 ล้านคนขาดประกันสุขภาพภายในปีหน้า และอาจพุ่งไปถึง 32 ล้านคนภายในปี 2573

ภาพที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยหลายคนฉายซ้ำมาที่ครอบครัวดิสบอต เดนนิส ดิสบอตตรวจพบมะเร็งก่อนกำหนดคลอดของลูกเพียง 2 สัปดาห์ การต่อสู้กับมะเร็งของเขายืดเยื้อและเป็นสาเหตุให้ต้องออกจากงานประจำเพื่อมารักษาตัวอย่างเต็มที่   ประกันสุขภาพของเขาไม่สามารถครอบคลุมค่ารักษาทั้งหมดจึงต้องขอบริจาคทางอินเตอร์เน็ตเพื่อหาเงินเป็นค่าครองชีพ การรักษาเสริม สเต็มเซลล์บำบัด รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะ เช่น การแช่แข็งอสุจิซึ่งไม่อยู่ความคุ้มครองของประกัน

ธีโอดอร์ ซุงจิน ดิสบอต, เดนนิส ดิสบอต และเอสเธอร์ ดิสบอต ภาพ: ได้รับความอนุเคราะห์จากครอบครัวดิสบอต

แต่ถึงกระนั้นดิสบอตก็ยังคงพอใจกับประกันสุขภาพโอบามาแคร์แม้คุ้มครองค่าใช้จ่ายได้ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะการที่โอบามาแคร์ให้ความคุ้มครองถึงโรคที่เป็นมาก่อน อันเป็นการสะท้อนถึงความคุ้มครองสิทธิอันพึงได้ของประชาชน และว่า การป่วยเป็นมะเร็งทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าชีวิตนั้นไม่เที่ยงและการต้องรับมือกับภาระค่ารักษานั้นเป็นเรื่องหนักหนาเพียงใด   พร้อมย้ำว่า หากเขาแข็งแรงก็จะไปร่วมประท้วงแผนรื้อประกันสุขภาพโอบามาแคร์ด้วยเพื่อที่จะรักษาประโยชน์ให้คนรุ่นต่อไป

เรียบเรียงจาก Americans who crowdfund their health costs fear for future under Trump (www.theguardian.com)