ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“ผมรู้สึกผิดอย่างมากที่ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นเกิดจากความประมาทของผมทั้งนั้น”

นิรันดร ถาวงษ์กลาง หรือ โอ๊ต เด็กหนุ่มวัย 22 ปี ที่มาพร้อมกับประสบการณ์ที่ก้าวพลาดด้วยความประมาทจากเหตุการณ์เมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุรุนแรง ด้วยความที่ทางบ้านมีฐานะไม่ค่อยดี จึงไม่มีเงินมาชดเชยค่าเสียให้กับคู่กรณี ส่งผลให้โอ๊ตต้องติดคุก อนาคตดับวูบ

นิรันดร เล่าว่า เขาเริ่มดื่มและสูบบุหรี่ตอนอายุประมาณ 14-15 ปี สาเหตุก็มาจากติดเพื่อน เพื่อนดื่ม เพื่อนสูบเราก็ต้องทำตามเพื่อน และก็เริ่มเกเรเรื่อยมา ไม่สนใจว่าแม่จะรู้สึกอย่างไร สนใจแต่เพื่อนเท่านั้น

พอไม่ได้เรียนหนังสือ ชีวิตเริ่มมีอิสระ เพราะไม่ต้องเรียนหนังสือ ตอนนั้นทำงานทั่วไป ใครจ้างทำอะไรตนเองทำหมด แต่เงินที่ได้มาแทนที่จะเก็บหรือให้แม่ แต่ตนกลับเอาเงินไปเลี้ยงเหล้าเพื่อนแทน ช่วงนั้นบอกเลยว่าเพื่อนร่วมวงดื่มเยอะมาก และชีวิตยิ่งสนุกไปกันใหญ่ เมื่อตนอ้อนวอนให้แม่ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ มีทั้งรถ มีทั้งเพื่อนดื่มเหล้า ดื่มเสร็จ ขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ซึ่ง ณ เวลานั้นตนไม่เคยคิดว่า พฤติกรรมเมาแล้วขับมันจะผิดแล้วมันส่งผลกระทบกับใครบ้าง

“จนกระทั่งวันหนึ่งผมถูกตำรวจจับ เพราะเมาแล้วขับ โทษในครั้งนั้นศาลให้รอลงอาญาเอาไว้ แต่ผมก็ยังทำแบบเดิม ๆ อีก คือเมาแล้วขับ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มันทำลายชีวิตและดับอนาคตของผมทันที”

โอ๊ต บอกว่า “ในวันนั้นผมยอมรับว่าดื่มมาแต่ยังไม่ถึงกับเมามาก พอเจอด่านทำให้ตกใจหักรถกลับย้อนศรทันที ทำให้ชนกับรถมอเตอร์ไซค์คู่กรณีอย่างรุนแรงทำให้คู่กรณีบาดเจ็บสาหัส เพื่อนที่ซ้อนมาได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ส่วนผมได้รับขาดเจ็บเล็กน้อย”

“ผมรู้สึกผิดอย่างมากที่ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นเกิดจากความประมาทของผมทั้งนั้น”

“หลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนั้น...ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป ผมเห็นน้ำตาของแม่ทุกวัน คนในครอบครัวจะวิ่งหาเงินมาสู้คดี และผมก็สูญเสียงานที่ทำ เพราะต้องลางานไปเรื่องคดี และในที่สุดศาลมีคำตัดสินให้ผมติดคุกทันทีเป็นเวลา 9 เดือน ....ไม่มีงาน ไม่มีเงิน แถมยังไม่มีอนาคตอีก เพื่อนร่วมวงดื่มที่ผมคิดว่าเป็นเพื่อนตายของผมไม่เคยมาให้เห็นหน้าสักครั้งตั้งแต่เกิดเรื่องจนติดคุก”

“เมื่อได้เข้าไปอยู่ใน”เรือนจำ” ผมเชื่อได้เลยว่าหลาย ๆ คนคงไม่อยากเข้าไปแน่นอน และ ตัวผมก็เช่นกัน แต่ทำไงได้ครับด้วยความที่ครอบครัวผมก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ไม่มีเงินเพื่อต่อสู้คดีต่อ ชีวิตในเรือนจำ เป็นชีวิตที่ต่างจากชีวิตที่ผมเคยมี เปลี่ยนทั้งการอยู่การกิน อะไรที่ไม่เคยเจอได้เจอหมด แต่สิ่งที่ผมเสียดายที่สุดคือ อิสรภาพ”

“ที่เกิดขึ้นในวันนั้น มันให้บทเรียนกับ ทำให้ผมคิดอะไรได้หลาย ๆ อย่าง ทำให้ผมใจเย็นขึ้น คิดถึงใจเขาใจเรา และที่สำคัญทำให้ผมขับรถอย่างมีสติมากขึ้น และผมจะไม่ประมาทกับชีวิตอีกและ เราต้องเคารพ กฎหมาย-กฎจราจร กติกาสังคม เพราะถ้าคุณทำพลาดขึ้นมา ชีวิตคุณอาจจะเปลี่ยนเหมือนตัวผมก็ได้ ผมอยากจะฝากไปถึงผู้ที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ว่าเราควรนึกถึงความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่นให้มาก ๆ อย่าเอาความมักง่ายของตัวเองมาใช้ในสังคม เราควรเคารพกฎหมาย กฎจราจร ให้มาก ๆ”

ปัจจุบันนิรันดรได้กลับไปศึกษาต่อ และได้ทำงานเป็นจิตอาสา ที่อาสาสมัครเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตและเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ โดยใช้ประสบการณ์ตรงของตนเองเป็นบทเรียนเตือนสติคนในสังคม