ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ผอ.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เผยปัญหาเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 กระทบครอบครัวเปราะบาง พบในเมืองมี 2 กลุ่มต้องเน้นพิเศษ คือ “กลุ่มคนไร้บ้าน -ชุมชนแออัด”

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผอ.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กล่าวตอนหนึ่งในการแถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดผลกระทบต่อครอบครัวครัวไทยต่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางซึ่งจากข้อมูลพบว่ามีอยู่ 3.8 ล้านครอบครัว ซึ่ง 1 ครอบครัวเฉลี่ยมีสมาชิก 4-6 คน บางครอบครัวมีการขาดแคลนปัจจัย 4 ซึ่งไม่ได้หาได้จากตู้ปันสุข ทั้งนี้ ปัญหาเศรษฐกิจครอบครัวจะส่งผลไปถึงสุขภาพจิต นำไปสู่การฆ่าตัวตาย อย่างวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 41 ซึ่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็มีคนฆ่าตัวตายนับพันราย สิ่งที่ตามมาอีกคือความรุนแรงในครอบครัวเดิม ความรุนแรงทางด้านจิตใจ 32% ส่วนด้านร่างกาย 10% ส่วนความรุนแรงทางเพศ 4.5% และปัญหาการหย่าร้าง

นพ.โกมาตร กล่าวต่อว่า ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญ 7 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก กลุ่มที่มีสภาวะยากจน ขาดแคลน แร้นแค้นอยู่แล้ว ซึ่งมีการลงทะเบียนเอาไว้จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ กลุ่มที่ 2 ผู้สูงอายุและผู้พิการ กลุ่มที่ 3 ผู้ป่วย เช่น เบาหวาน ความดัน กลุ่มที่ 4 ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ซึ่งปัจจุบันมีมากถึง 50 % ของครอบครัวไทย กลุ่มที่ 5 กลุ่มที่เข้าไม่ถึงสิทธิ์ เช่น เมื่อมีการลงทะเบียนผ่านโทรศัพท์มือถือเขาเข้าไม่ถึงสิทธิ์เพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ หรือไม่มีบัญชีธนาคาร นอกจากเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือแล้ว ความรู้สึกหดหู่เมื่อเห็นคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่ากลับได้รับความช่วยเหลือ ในขณะที่ตัวเองลำบากมากกว่าแต่เข้าไม่ถึงการช่วยเหลือจะทำให้เกิดสภาวะจิตใจหดหู่ ซึมเศร้าได้ กลุ่มที่ 6 กลุ่มคนไร้สถานะ แรงงานต่างด้าว และกลุ่มที่ 7 กลุ่มชาติพันธ์ตามชายขอบ ในเขตเมือง เขตอุตสาหกรรมหรือจังหวัดชายแดน

“นอกจากนี้เมื่อมองเชิงเปรียบเทียบผลกระทบครอบครัวไทยแล้วอยากจะย้ำไปที่ครอบครัวกลุ่มเปราะบางในเขตเมือง เพราะในชนบทจะมี อสม.ที่ค่อนข้างเข้มแข็ง ติดตามถึงบ้านให้กำลังใจผู้คน ดูว่าขาดแคลนอะไร ก็พอช่วยเหลือได้ แต่ในเขตเมืองกลไกการดูแลจะยากลำบาก ดังนั้นในเขตเมืองจะมี 2 กลุ่มที่ต้องเน้นหนักเป็นพิเศษคือ กลุ่มคนไร้บ้าน และอีกกลุ่มคือชุมชนแออัด ซึ่งเสี่ยงเรื่องปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวจากเศรษฐกิจไม่ดี” นพ.โกมาตร กล่าว

นพ.โกมาตร กล่าวว่า สรุปว่ากลไกต่างๆ ที่จะต้องเข้าไปช่วยเหลือให้มองผลกระทบออกเป็น 3 ระยะคือ ระยะเร่งด่วน กลุ่มเปราะบางเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลืออะไรควรเข้าไปตอบสนอง ระยะกลางซึ่งเราจะมีการคลายล็อคมากขึ้นในอนาคตจะมีผลกระทบตามมา เช่น การเปิดโรงเรียน ซึ่งในต่างประเทศพบมีการระบาดของโควิด-19 กลับมา ที่สำคัญมีงานวิจัยในต่างประเทศพบว่าเด็กที่เรียนอยู่กับบ้าน เมื่อกลับไปเรียนที่โรงเรียนจะมีปัญหาความรู้ตกหล่น ไม่สามารถจะเรียนได้ตามเนื้อหาที่คาดหวังไว้มาก โดยเฉพาะเด็กในครอบครัวที่ไม่มีอุปกรณ์สำหรับเรียนที่บ้าน พบตกหล่นเรียนไม่ทันเพื่อนมากกว่า 50% เพราะฉะนั้นหลังคลายล็อคเปิดเรียนแล้วครู อาจารย์ต้องติดตามความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการเรียนรู้และสร้างกระบวนการสนับสนุนรองรับ อาจจะควบคู่ไปกับการฟื้นฟูทางด้านเศรษฐกิจที่รัฐบาลมีนโยบายอยู่แล้ว เป็นต้น