ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คณบดีศิริราชฯ เผยต้องติดตามสถานการณ์โควิดต่อเนื่องจนถึง 30 ก.ย. ขอให้ทุกคนร่วมใจเฝ้าระวังอีก 1 เดือน ตัวเลขจะแกว่างในระดับ 1 หมื่นอีกระยะ เว้นมาตรการวัคซีน บุคคล สังคมร่วมมือทำดีต่อเนื่อง ตัวเลขอาจดีขึ้น ชี้ ต.ค.ติดเชื้อจะพุ่งหรือไม่ต้องลดความเสี่ยงในบุคคล สถานที่ ร่วมมือร่วมใจไปด้วยกัน

เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2564 ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ว่า การเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา 2 สัปดาห์ พบว่ามาตรการต่างๆ ทำได้ดีทีเดียว ทั้ง 3 ด้าน คือ 1.มาตรการวัคซีนที่ทำได้ดี ไม่หลุดเป้าหมายการฉีดวันละ 4 แสนโดส 2.มาตรการบุคคล การสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ ก็ทำได้ดี แม้มีบางส่วนที่พบว่าไม่ได้ทำตามกำหนดอย่างที่เราเห็นการติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ เช่น งานศพ และ 3.มาตรการสังคมและการบริหาร เราจะพบว่าสามารถดำเนินการได้ดี มีการผ่อนคลายมาตรการบ้าง เช่น การนั่งรับประทานอาหารในร้านได้ 50% แต่ก็เห็นได้ว่าหลายๆ ร้านอาจไม่ได้ทำตามที่ตกลง ซึ่งเราเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า การติดเชื้อใหม่ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.64 ที่เราเริ่มผ่อนคลายมาตรการ จากที่เราดูการพอตกราฟ(plot graph) พบว่าตัวเลขคู่ขนานกับที่เราคาดการณ์ไว้ ถือเป็นกราฟที่สวย จึงขอให้ประชาชนที่ร่วมใจกันทำดีมาตลอด ก็อยากให้ทำดีต่อไป เพื่อให้เราได้อยู่ในจุดที่วางใจได้ ส่วนตัวเลขที่สำคัญในการคาดสถานการณ์ คือ ผู้ป่วยหนัก และผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ขณะนี้ก็ลดลงคู่ขนานกันต่อเนื่อง ทำให้เราเชื่อว่าตัวเลขการติดเชื้อใหม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เรายังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 30 ก.ย.64 แต่ก็อยากขอให้ทุกคนร่วมใจกันเฝ้าระวังต่อไปอีกซัก 1 เดือน ตัวเลขก็จะแกว่งๆ ในระดับ 1 หมื่นต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง แต่ถ้ามาตรการวัคซีน บุคคล และสังคม ยังทำได้ดีต่อเนื่อง เราจะเห็นตัวเลขสวยๆ ได้ แต่ให้ผ่านพ้นเดือนหน้าไปก่อน ซึ่งในเดือน ต.ค. เราจะมีวัคซีนโควิด-19 เข้ามามากขึ้น คาดว่าถึง 20 ล้านโดส ดังนั้น ณ วันนี้ที่เราฉีดวัคซีนกันมากกว่า 40 ล้านโดสแล้ว เมื่อรวมกับเดือนหน้าที่เราจะฉีดได้มากขึ้น ก็ทำให้สบายใจได้ แต่ก็ยังไม่สามารถผ่อนมาตรการป้องกันตัวเองลงได้

ทั้งนี้ เราต้องเร่งมาตรการวัคซีนให้มากขึ้น เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ปกติโดยเร็วที่สุด แต่ต้องทำควบคู่กับมาตรการส่วนบุคคลที่ต้องเข้มข้น ไม่ผ่อนไปตามมาตรการที่ผ่อนคลายไป ซึ่งตัวเลขในประเทศที่เขาเข้าสู่สถานการณ์ปกติแล้ว มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 สูงถึง 70% ของประชากร และเข็มที่ 2 ถึง 60% เป็นตัวเลขใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ว่าเข็มที่ 1 สูง 70% แต่ฉีดเข็มที่ 2 ได้แค่ 20% ก็ยังไม่สามารถเข้าสู่ปกติได้ เพราะยืนยันว่าสำหรับเดลต้า วัคซีนเข็มเดียวเอาไม่อยู่ ต้อง 2 เข็ม แม้จะเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรก ก็เอาไม่อยู่ แต่สถานการณ์ปกติของไทยยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้

“ใจผมยังอยากให้เฝ้าระวังต่อเนื่องอีก 1 เดือนเป็นอย่างน้อย โดยเฉพาะ 4 เสี่ยงที่เคยย้ำ คือ คนเสี่ยง สถานที่เสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง และช่วงเวลาเสี่ยง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีวันหยุดยาว ดังนั้น ขณะนี้เราผ่อนมาตรการมาแล้ว ก็เป็นการเพิ่มกิจกรรมเสี่ยง ดังนั้นต้องเข้มใน 2 เสี่ยงคือ คนและสถานที่เสี่ยง ให้ลดลงมากที่สุด” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นว่าขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่การระบาดรอบ 5 แล้ว ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องบอกว่าการประเมินสถานการณ์โควิด-19 ต้องดูจากข้อมูลจริง ไม่ใช่ใช้ความรู้สึก ตนดูข้อมูลมาตลอด ไม่จำเป็นต้องปิดบังข้อมูล โดยเฉพาะตัวเลขการติดเชื้อใหม่ที่เห็นได้ว่าลดลงต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงการตรวจพบเชื้อแต่เป็นจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาล เช่น รพ.บุษราคัม ตอนนั้นเราเคยเปิดถึง 3 พันเตียง ตอนนี้หลือไม่ถึง 100 เตียง ก็เป็นข้อมูลจริงที่เกิดขึ้น

“หากเราจะบอกว่าเข้าการระบาดรอบ 5 ต้องบอกว่า เฝ้าระวังการเข้าระบาดรอบ 5 จะดีกว่า เพราะตอนนี้ตัวเลขติดเชื้อและสถานการณ์ผู้ป่วยก็ลดลงจริง เราไม่ได้แอบตัวเลขอะไร เพราะที่รายงานกัน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ปอดอักเสบ รายงานเข้าระบบมาก็เพื่อการจัดส่งยา เราก็รายงานตามสถานการณ์จริง ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าเข้าระบาดรอบ 5 ก็จะย้อนแย้งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากจะมีสายพันธุ์เข้ามาที่แพร่เชื้อเร็ว หรือรุนแรงกว่าเดิม” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าในเดือน ต.ค. เราจะเห็นตัวเลขการติดเชื้อใหม่ พุ่งสูงขึ้นเป็นหลัก 2 หมื่นรายหรือไม่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องก็ย้อนกลับไปดูถึงความเสี่ยงที่สำคัญ คือ คน สถานที่ กิจกรรมและช่วงเวลาเสี่ยง ถ้าความเสี่ยงใดเพิ่มขึ้น ก็มีสิทธิกลับมาพบการติดเชื้อสูงขึ้นได้อย่างแน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลดความเสี่ยงในบุคคล ถ้าเรายังยึดการป้องกันตัวเองขั้นสูง การ์ดยังไม่ตก ตัวเลขก็คงไม่เพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้แล้ว