ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ศูนย์วิจัยคลินิก ศิริราชเผยผลศึกษาการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและความปลอดภัยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3)   ป้องกัน "โอมิครอน"  ชี้ฉีดเข้าในชั้นผิวหนังให้ระดับภูมิคุ้มกันต่ำกว่าการฉีดเข้าในชั้นกล้ามเนื้อ แต่ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้ยังค่อนข้างสูง โดยเฉพาะถ้าใช้วัคซีนโมเดอร์นา  

เมื่อเร็วๆนี้  ศูนย์วิจัยคลินิก  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผย ผลการศึกษาการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 (เข็มกระตุ้น) ด้วยวัคซีนโมเดอร์นา หรือไฟเซอร์ ฉีดเข้าในชั้นผิวหนังหรือกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุ 

โดยที่มาของการศึกษาครั้งนี้ เนื่องจากผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อโรคโควิด-19 รุนแรง ดังนั้น การฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 มีความจำเป็นอย่างมากเพื่อป้องกันไวรัสโอมิครอนที่ระบาดโดยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน  แต่ผู้สูงอายุอาจมีความกังวลต่ออาการข้างเคียงจากวัคซีน ส่งผลให้การยอมรับวัคซีนน้อยลง การฉีดวัคซีนเข้าในชั้นผิวหนัง ที่ใช้วัคซีนปริมาณน้อย เพียง 1 ใน 5 ของขนาดเข้าในชั้นกล้ามเนื้อ และลดการเกิดผลข้างเคียง อาจทำให้มีการยอมรับที่ดีขึ้น

ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาแบบเปิดและมีการสุ่มผู้สูงอายุตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ที่เคยได้รับวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าครบ 2 เข็ม นาน 12 ถึง 24 สัปดาห์  จำนวน 210 ราย  พบว่า ระดับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่วัดได้ก่อนการฉีดกระตุ้น (หลังจากได้รับวัคซีนแอสตร้าฯ 2 เข็ม)  ต่ำมาก ซึ่งไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ภายหลังจากที่ได้รับการฉีดกระตุ้น(เข็มที่ 3) พบว่าระดับภูมิคุ้มกันสูงขึ้นมากกว่า 1,000 เท่า และทำให้ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนทั้งหมด 

ระดับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ 2 ถึง 4 สัปดาห์ หลังจากได้รับวัคซีนกระตุ้นเข้มที่ 3 พบว่าการฉีดเข้าในชั้นผิวหนังให้ภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าการฉีดเข้าในชั้นกล้ามเนื้อ โดยวัคซีนโมเดอร์นาให้ระดับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าวัคซีนไฟเซอร์ และมีภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนสูงกว่า

ข้อสรุปสำคัญ พบว่า จำเป็นต้องให้ผู้สูงอายุฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จึงจะสามารถป้องกันโควิด-19 จากเชื้อโอมิครอนได้ การฉีดเข้าในชั้นผิวหนังให้ระดับภูมิคุ้มกันต่ำกว่าการฉีดเข้าในชั้นกล้ามเนื้อ แต่ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้ยังค่อนข้างสูง โดยเฉพาะถ้าใช้วัคซีนโมเดอร์นา จึงอาจเป็นทางเลือกหากมีจำนวนของวัคซีนจำกัด และต้องการลดโอกาสเกิดอาการข้างเคียงตามระบบ
 

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org