ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมควบคุมโรคคาดฉีดวัคซีนโควิดตอนนี้อีก 2 สัปดาห์จะพอดี จากการคาดการณ์ระบาดรอบนี้พีคสุด! หลังวันแม่ 12 ส.ค.นี้ ตัวเลขต่างๆจะมากขึ้นกว่าปัจจุบัน 1 เท่าตัว คาดเริ่มสูงสุดกทม. และกระจายไปยังจังหวัดอื่นๆ  ส่วนหยุดยาวแม้ฉีดกระตุ้นไม่มาก หวังว่าปชช.จะป้องกันตัวเองดี ขณะที่จะปรับมาตรการเข้มหรือไม่ต้องรอ 3 ปัจจัย

นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค(คร.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โควิด19ในประเทศไทยรอบนี้ว่า ขณะนี้สถานการณ์โควิด19 ระดับความรุนแรงยังอยู่ที่ระดับ 2 ยังเป็นสีเขียว หากเทียบกับสถานการณ์ตอนที่สายพันธุ์เดลตาระบาดเมื่อปีทีผ่านมา ซึ่งเป็นสีแดง ยังต่างกันอยู่มาก  ข้อมูลที่ติดตามเป็นหลัก คือ ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในรพ.ที่มีปอดอักเสบและผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ  โดยขณะนี้ผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจใกล้จะถึง 400 รายแล้ว  สถานการณ์ที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้เป็นในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล

นพ.จักรรัฐ กล่าวอีกว่า ช่วงนี้ที่ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้นเป็นผลพวงจากการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเมื่อ 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะ 2 สัปดาห์ที่แล้วที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 608 ช่วงนี้จึงต้องปรับรูปแบบการรักษาให้เร็วขึ้น เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยหนักให้น้อยลง รวมถึงต้องเร่งฉีดวัคซีนให้มากขึ้น หากถึงกำหนดฉีดเข็มกระตุ้นต้องไปฉีด เพราะหลังฉีดแล้วต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ภูมิคุ้มกันถึงจะขึ้นและป้องกันเชื้อได้  

        
“ฉีดวัคซีนตอนนี้อีก 2 สัปดาห์น่าจะพอดี เนื่องจากคาดการณ์ว่าสถานการณ์ระบาดรอบนี้จะสูงสุดช่วงหลังวันแม่ 12 ส.ค. 2565 ตัวเลขข้อมูลในส่วนต่างๆจะมากขึ้นกว่าปัจจุบันราว 1 เท่าตัว  โดยผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นก่อนจำนวนมาก จากนั้นจะมีผู้ป่วยอาการหนักเพิ่มขึ้นตามมา โดยสถานการณ์ขึ้นสูงสุด จะเริ่มที่กรุงเทพฯก่อน แต่ไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯอย่างเดียว จะกระจายไปจังหวัดอื่นด้วย สถานการณ์สูงสุดจะค่อยๆขึ้น และอาจจะเร็วกว่านี้ได้”นพ.จักรรัฐกล่าว   

       
นพ.จักรรัฐ กล่าวด้วยว่า สำหรับในช่วงหยุดยาว แม้การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นไม่ยังไม่มากเพียงพอที่ต้องการ 60% แต่ฉีดไปกว่า 40 % แล้ว และประชาชนเข้าใจวิธีการป้องกันตนเองหลังจากมีประสบการณ์มา 2 ปีครึ่ง หวังว่าการเดินทางในรอบหยุดยาว คงจะมีมาตรการป้องกันส่วนบุคคลค่อนข้างดี หวังว่าการติดเชื้อไม่กระจายไปในจังหวัดที่ไปท่องเที่ยวมากนัก อีกทั้งมาตรการต่างๆของขนส่งสาธารณะยังคงความเข้มขึ้นอยู่ แม้ว่าบางสายการบินจะผ่อนคลายเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังอยากจะให้ทุกคนช่วยกัน  ยังอยากให้สวมหน้ากากอนามัยต่อไปก่อน รวมถึง เว้นระยะห่าง         

ทั้งนี้ ในกลุ่ม 608 ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และหญิงตั้งครรภ์ หลายท่านอาจจะคิดว่าอาการไม่มาก ฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้ว รอก่อนได้ ค่อยไปหาแพทย์ หรือค่อยตรวจATK จะต้องขอให้ตรวจเร็วขึ้น ทันทีเมื่อเริ่มมีอาการ เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ แน่นหน้าอกมากขึ้น หายใจไม่ค่อยสะดวก หายใจลำบาก และถ้าเจอ 2 ขีดติดเชื้อ กลุ่มวัยทำงานอาจจะรักษาตัวที่บ้านได้ แต่กลุ่ม 608 ขอให้ทุกรายไปรพ.เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการก่อนว่าจะมีแนวทางการรักษาอย่างไร เช่น หากเชื้อลงปอดแล้วอาจจะต้องนอนรักษาในรพ.
      
นพ.จักรรัฐ กล่าวด้วยว่า การปรับระดับความรุนแรงและการเตือนภัยสูงขึ้นนั้น ขณะนี้ตัวแปรต่างๆยังไม่ครบ โดยในส่วนของจังหวัดอื่นๆยังไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ที่เพิ่มขึ้นในส่วนของกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งทุกระลอกพื้นที่เหล่านี้จะเพิ่มขึ้นก่อนเสมอ หากสามารถควบคุมโรคได้ดี กลุ่มเสี่ยง 608 มีอาการไม่รุนแรงมากนักและจำนวนไม่มาก ก็อาจจะควบคุมโรคได้เร็ว ไม่กระจายต่อทั่วประเทศ  

อย่างไรก็ตาม  จะมีการปรับปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรค โดยพิจารณาจาก 1.เมื่อผู้ป่วยรายใหม่เข้ารักษาในรพ. เกิน 4,000 รายต่อวัน  อาจต้องให้ใส่หน้ากากอนามัย 100% หรือเว้นระยะห่างมากขึ้น 2.ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ เกิน400-500 รายต่อวัน อาจต้องปรับมาตรการรักษา ให้ยาเร็วขึ้น ป้องกันโรคอื่นด้วย และ3.ผู้เสียชีวิต เกิน 40 รายต่อวัน ถ้าเกินต้องมีมาตรการเพิ่มเติม
      
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเกณฑ์การพิจารณาระดัยความรุนแรงชองการระบาดโควิด19 มี 5 ระดับ ประกอบด้อวย  

1.สีขาว โรคประจำถิ่นที่ควบคุมได้ดี จำนวนผู้ป่วยรับการรักษาในรพ.เฉลี่ยต่อวัน น้อยกว่า 2,000 ราย อัตราป่วย-ตาย น้อยกว่า 0.1 % อัตราการครองเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก/จำนวนผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ น้อยกว่า 5 % และการกระจายของโรคตามลักษณะทางระบาดวิทยา ระบาดเป็นกลุ่มก้อนขนาดเล็กที่ไม่มีการแพร่เชื้อต่อ 
          
2.สีเขียว ที่เป็นระดับปัจจุบัน  จำนวนผู้ป่วยรับการรักษาในรพ.เฉลี่ยต่อวัน 2,000 ราย อัตราป่วย-ตาย  0.07 %  จำนวนเสียชีวิตเฉลี่ยต่อวัน 20 ราย  อัตราการครองเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก 10 %  จำนวนผู้ที่ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ  200-400 ราย และการกระจายของโรคตามลักษณะทางระบาดวิทยา ระบาดในวงจำกัด (คลัสเตอร์ขนาดเล็ก )
     
3. สีเหลือง รุนแรงน้อย จำนวนผู้ป่วยรับการรักษาในรพ.เฉลี่ยต่อวัน 4,000-6,000 ราย อัตราป่วย-ตาย มากกว่า 0.10 %  จำนวนเสียชีวิตเฉลี่ยต่อวัน 40-60 ราย  อัตราการครองเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก 20-40 %  จำนวนผู้ที่ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ  400-500 ราย และการกระจายของโรคตามลักษณะทางระบาดวิทยา ระบาดในวงจำกัด (คลัสเตอร์ขนาดใหญ่)
       
4.สีส้ม รุนแรงปานกลาง จำนวนผู้ป่วยรับการรักษาในรพ.เฉลี่ยต่อวัน 6,001-8,000 ราย อัตราป่วย-ตาย มากกว่า 0.5 %  จำนวนเสียชีวิตเฉลี่ยต่อวัน 61-80 ราย  อัตราการครองเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก 41-75 %  จำนวนผู้ที่ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ  501-600 ราย และการกระจายของโรคตามลักษณะทางระบาดวิทยา ระบาดในวงกว้าง ขนาดใหญ่ และมีความเชื่อมโยงกัน 
     
5.สีแดง รุนแรงมาก จำนวนผู้ป่วยรับการรักษาในรพ.เฉลี่ยต่อวัน 8,001-10,000 ราย อัตราป่วย-ตาย มากกว่า 1 %  จำนวนเสียชีวิตเฉลี่ยต่อวัน มากกว่า 80 ราย  อัตราการครองเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการหนักมากกว่า 75 %  จำนวนผู้ที่ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ มากกว่า 600 ราย และการกระจายของโรคตามลักษณะทางระบาดวิทยา มีการระบาดกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ในวงกว้าง กลไกระดับจังหวัดไม่สามารถควบคุมโรคได้ 

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org