ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คณะอนุกรรมการ MIU ด้านการถ่ายโอนภารกิจฯ ศึกษาแนวทางกระจายอำนาจของต่างประเทศ พบการดำเนินการเพียงบางด้านมีความพึงพอใจมากที่สุด พร้อมจัดทำ 4 ข้อเสนอสำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขต้องกำกับคุณภาพมาตรฐาน กระจายอำนาจบางด้านตามความพร้อมพื้นที่และเวลาที่เหมาะสม ใช้รูปแบบไว้เนื้อเชื่อใจ มีการติดตามประเมินผลเพื่อปรับสมดุลกระจาย-รวมศูนย์อำนาจ ตามบริบทที่เปลี่ยนแปลง

นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิ 11) และประธานคณะอนุกรรมการ MIU วิชาการและติดตามประเมินผลถ่ายโอนภารกิจ สอน./รพ.สต. ให้แก่ อบจ. กล่าวว่า คณะอนุกรรมการ MIU ถ่ายโอนภารกิจฯ โดยทีมวิจัยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ได้ศึกษาบทเรียนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นของต่างประเทศเพื่อนำมาปรับเป็นข้อเสนอในการถ่ายโอนภารกิจฯ แต่ละระยะของประเทศไทย นำเสนอต่อ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการบริหารการถ่ายโอนฯ ของกระทรวงสาธารณสุข โดยมี 4 ประเด็นสำคัญ คือ

1. เป้าหมายของการกระจายอำนาจ ส่วนใหญ่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน เพิ่มขีดความสามารถและความรับผิดชอบของหน่วยงานระดับท้องถิ่น เพิ่มนวัตกรรมบริการ เพิ่มคุณภาพบริการ และเพิ่มความเสมอภาค 2 .วิธีกระจายอำนาจมี 4 ด้าน คือ ด้านการตัดสินใจ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านบริการ และด้านการบริหารจัดการ รวมถึงบุคลากร โดยประเทศส่วนใหญ่เลือกกระจายอำนาจเพียงบางด้าน โดยเฉพาะด้านการบริการ ซึ่งพบว่าได้ผลพึงพอใจมากที่สุด

3. กลไกการกระจายอำนาจมี 3 รูปแบบ คือ ต่างคนต่างทำ (voting with feet) ส่วนกลางไม่ควบคุม ซึ่งการพัฒนาจะขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละพื้นที่, ทำตัวติดดิน (close to ground) ส่วนกลางมอบอำนาจให้ท้องถิ่นตัดสินใจ ซึ่งจะตอบสนองปัญหาในพื้นที่ได้แต่อาจขาดเป้าหมายและความเชื่อมโยงในภาพรวม และแบบไว้เนื้อเชื่อใจ (watching the watchers) ทุกหน่วยทำงานเชื่อมโยงกัน มีระบบกำกับตามลำดับขั้นของหน่วยงาน ท้องถิ่นมีอำนาจในการบริหารโดยยังมีหน่วยงานที่สูงกว่าคอยดูแล ทำให้เกิดความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และมีความยืดหยุ่น 4.การกระจายอำนาจและการรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง พบควบคู่กันในประเทศที่กระจายอำนาจ ซึ่งต้องปรับเปลี่ยน เพื่อหาจุดสมดุลตามปัจจัยและบริบทที่เปลี่ยนไป

นพ.รุ่งเรือง กล่าวต่อว่า ได้จัดทำข้อเสนอแนะสำหรับประเทศไทย คือ 1.ควรกำหนดเป้าหมายพัฒนาระบบการทำงานของหน่วยราชการให้ยุ่งยากซับซ้อนน้อยลง มีทรัพยากรในการทำงานมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถของ อปท. ในการจัดการด้านสาธารณสุข โดยมีกระทรวงสาธารณสุขกำกับดูแลเรื่องคุณภาพมาตรฐาน สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนและระบบตรวจสอบการทำงานของ รพ.สต.และอปท. สร้างความเสมอภาคระหว่างพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างประชากรในพื้นที่ 2. ควรเริ่มกระจายอำนาจบางด้านตามความพร้อมของพื้นที่และความเหมาะสมของช่วงเวลา ไม่ควรกำหนดรูปแบบเหมือนกันทุกพื้นที่ แต่ค้นหาขนาดของประชากรและลักษณะของหน่วยงานในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อให้การกระจายอำนาจมีโอกาสบรรลุวัตถุประสงค์มากที่สุด

3. พัฒนาการกระจายอำนาจไปสู่รูปแบบไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด โดยกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายและ
แผนระดับชาติ กำกับมาตรฐาน ติดตามประเมินผล ส่วนระดับพื้นที่เน้นสร้างความสัมพันธ์ที่ดี สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในการทำงานร่วมกัน พัฒนาระบบสารสนเทศทางสาธารณสุขที่เชื่อมโยงกันได้ และ 4. ต้องมีการกำกับควบคุมจากหน่วยงานส่วนกลาง เช่น มาตรฐาน การติดตามประเมินผล และปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อหาจุดสมดุลระหว่างการกระจายอำนาจและรวมศูนย์ตามบริบทที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา