ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สปสช. เผย แนวทางรับ “บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค สิทธิประโยชน์กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท)” กรณีผู้มีสิทธิสามารถรับบริการได้ที่หน่วยบริการในระบบ สปสช.ตามเดิม ส่วนผู้ที่ไม่ใช่สิทธิบัตรทองสามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการสังกัด สธ. ได้ทุกแห่ง ระหว่างรอความชัดเจนข้อกฎหมาย   

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ภายหลังจากที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบชะลอการจัดสรรงบสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ค่าบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนถิ่น ประจำปีงบประมาณ 2566 เฉพาะผู้ที่ไม่ใช่สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) จำนวน 5,146.05 ล้านบาท เพื่อรอความชัดเจนในข้อกฎหมายตามมาตรา 5, 9 และ 10 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 นั้น เพื่อดำเนินการตามมติ สปสช. ได้มีการหารือเพื่อวางแนวทางการบริหารจัดการ ไม่ให้เกิดผลกระทบหรือให้เกิดผลกระทบที่น้อยที่สุดต่อประชาชนและหน่วยบริการ พร้อมกันนี้ได้มีการประชุมชี้แจงแนวทางดำเนินการทั้ง 13 เขตพื้นที่ เพื่อประสานกับหน่วยบริการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป 

ทั้งนี้จากมติบอร์ด สปสช.ดังกล่าว สปสช. ขอย้ำว่า สิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคภายใต้กองทุนบัตรทอง 30 บาท ยังคงเดินหน้าให้บริการประชาชนเช่นเดิม โดยประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ยังคงเข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่งตามปกติเช่นเดิม แต่ในส่วนประชาชนผู้มีสิทธิอื่นที่ไม่ได้เป็นสิทธิบัตรทองนั้น เบื้องต้นขอให้เข้ารับบริการที่หน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทุกแห่งก่อน โดยเป็นตามนโยบายของ สธ. และในระหว่างนี้ สปสช.จะเร่งหารือกับหน่วยบริการภาครัฐนอกสังกัด สธ. เช่น รพ. สังกัด กทม. รพ. สังกัดกระทรวงกลาโหม รพ.สังกัดท้องถิ่น และโรงเรียนแพทย์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้ารับบริการให้กับประชาชนที่ไม่ใช่สิทธิบัตรทองเพิ่มเติม   

“สปสช.มีความจำเป็นในการชะลอการจัดสรรงบประมาณกว่า 5 พันล้านบาทออกไปก่อน ซึ่งเป็นงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคที่ดูแลประชาชนไม่ใช่สิทธิบัตรทองระหว่างรอตีความความชัดเจนในข้อกฎหมาย ทั้งนี้ยืนยันว่า นโยบาย สปสช. ยังคงสนับสนุนการให้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เพื่อสร้างนำซ่อม ในการดูแลสุขภาพคนไทยทุกกลุ่มวัยด้วยสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุม พร้อมจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอ รวมถึงช่องทางบริการที่หลากหลายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการมากที่สุด” เลขาธิการ สปสช. กล่าว 

 นพ.จเด็จ กล่าวว่า สำหรับหน่วยบริการภาคเอกชนที่ร่วมให้บริการในระบบบัตรทอง ในกรณีของบริการสร้างเสริมสุขภาพฯ ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ขอให้เป็นการบริการเฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองไปก่อน แต่หากมีประชาชนสิทธิอื่นมาขอรับบริการ เช่น ขอรับบริการฝากครรภ์ คัดกรองโรค เป็นต้น ขอให้แนะนำไปรับบริการได้ที่หน่วยบริการในสังกัด สธ. ซึ่งจะให้การดูแลต่อไป 

นอกจากนี้ที่ผ่านมา สปสช.ได้มีการประชุมดำเนินการในส่วนรายการค่าบริการสาธารณสุขที่ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนถิ่นซึ่งครอบคลุมการดูแลผู้มีสิทธิอื่นด้วยนั้น นพ.จเด็จ กล่าวว่า นอกจากการปรับจ่ายเงินสมทบเฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองในส่วนของกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ (กปท.) แล้ว ในส่วนของกองทุนระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสหรับผู้สูงอายุทีมีภาวะพึ่งพิง (กองทุน LTC) ซึ่งดูแลผู้ที่ไม่ใช่สิทธิบัตรทอง 1,719 คน จะประสานไปยัง อปท. ที่ร่วมจัดกตั้ง LTC ให้การดูแลต่อเนื่องระหว่างนี้   

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 
1.สายด่วน สปสช. 1330 
2.ช่องทางออนไลน์
• ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
• Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand