ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คกก.โรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบให้บริการวัคซีนโควิด 19 ประจำปี เริ่มปี 2566 เป็นปีแรก ฉีดปีละ 1 เข็ม แนะนำช่วงก่อนฤดูฝน เหตุเป็นช่วงระบาดมาก พร้อมฉีดวัคซีนหวัดใหญ่ควบคู่ หรือห่างกันได้ไม่มีระยะกำหนด พร้อมดันเรื่องค่าฉีดวัคซีนเข้าบอร์ด สปสช. 1 พ.ค.ระหว่างนี้รพ.จัดบริการฉีดกลุ่มเสี่ยงหวัดใหญ่ ส่วนโควิดให้ฟรีเหมือนเดิม  ส่วนสธ.เตรียมจัดบุคลากรให้บริการชุดเดียวกันฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิด

 

เมื่อวันที่ 27 เมษายน  ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2566 โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายอนุทิน กล่าวว่า  ที่ประชุมได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบ 4 เรื่องสำคัญ ดังนี้

เห็นชอบให้บริการวัคซีนโควิดปีละ 1 ครั้ง เริ่มปี 66 ปีแรก

เรื่องที่ 1 แผนการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ในระยะถัดไป เป็นการฉีดวัคซีนโควิด 19 ประจำปีสำหรับประชาชน (2566 - 2567) โดยจะเริ่มฉีดในปี 2566 เป็นปีแรก ฉีดปีละ 1 เข็ม แนะนำให้ฉีดช่วงก่อนฤดูฝน หรือตั้งแต่เมษายน เพราะคาดว่าเชื้อจะระบาดมากในช่วงฤดูฝน สามารถใช้วัคซีนชนิดใด/รุ่นใดก็ได้ที่ได้รับการรับรอง โดยไม่ต้องนับว่าเป็นเข็มที่เท่าไร ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีวัคซีนเพียงพอสำหรับประชาชนที่ต้องการฉีดเกือบ 20 ล้านโดส และสามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 พร้อมกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ โดยฉีดที่ต้นแขนคนละข้าง แต่หากไม่ได้ฉีดพร้อมกัน สามารถฉีดเมื่อไรก็ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงระยะห่าง ซึ่งตรงนี้ได้รับคำยืนยันจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวัคซีนแล้ว

"ขอให้ประชาชนรีบมารับวัคซีนโควิดตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข เพราะฉีดก่อนป้องกันก่อน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงต่อโรครุนแรง (กลุ่ม 608 และเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี) กลุ่มเสี่ยงการสัมผัส/แพร่เชื้อ คือ อาชีพที่ต้องสัมผัสคนจำนวนมาก หรืออยู่ในสถานที่แออัด เช่น ทัณฑสถาน เป็นต้น รวมถึงกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านหน้า และ อสม. เพื่อลดอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิต และรักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ สำหรับประชาชนทั่วไปสามารถรับวัคซีนประจำปีได้เช่นเดียวกันตามความสมัครใจ" นายอนุทินกล่าว

สธ.จัดหาบุคลากรฉีดวัคซีนคู่ พร้อมประสานสปสช.จัดสรรเงินค่าฉีดวัคซีน

นายอนุทิน กล่าวว่า นอกจากนี้ สธ.ยังได้ประสานกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยเลขาธิการสปสช.รับเรื่องนี้แล้วว่า ในช่วงที่ประชาชนฉีดวัคซีนโควิด19 เป็นเข็มกระตุ้น ได้ขอให้สปสช.สนับสนุนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ควบคู่ โดยจะจัดสรรงบประมาณให้บริการประชาชน ซึ่งจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.) ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ซึ่งคาดว่าจะได้รับการพิจารณา

“เรื่องนี้เป็นการทำงานร่วมกันทุกฝ่าย โดยสธ.ก็จะเร่งจัดหาบุคลากรในการให้บริการ ซึ่งการฉีดวัคซีนโควิดกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก็จะเป็นบุคลากรกลุ่มเดียวกัน ซึ่งจะมีค่าฉีดวัคซีน โดยจะเก็บมาจากสปสช. โดยไม่ได้เพิ่มงบประมาณแต่อย่างใด ” นายอนุทิน กล่าว

เรื่องที่ 2 เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการป้องกันการแพร่ระบาดโรคไข้เลือดออก พ.ศ. 2566 เนื่องจากสถานการณ์ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงต้องยกระดับมาตรการควบคุมโรค เพิ่มความเข้มข้นในการสำรวจและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย จัดกิจกรรมรณรงค์จิตอาสาฯ อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ เร่งรัดผ่านคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สื่อสารเชิงรุกไปยังสถานบริการสาธารณสุข ร้านขายยา และประชาชน เพิ่มความเร็วในการตรวจวินิจฉัยและรักษา โดยใช้ชุดตรวจแบบรวดเร็ว รวมทั้งให้โรงพยาบาลเตรียมความพร้อมรองรับการรักษาและควบคุมโรคตามแนวทางของกรมควบคุมโรค

เรื่องที่ 3 เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรีย ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อให้การขับเคลื่อนงานเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรียเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

เรื่องที่ 4 เห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคอาหารเป็นพิษ เนื่องจากมีเหตุการณ์ระบาดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงในโรงเรียน คณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558  จึงมีข้อเสนอต่อการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคอาหารเป็นพิษ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัย สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประสานดำเนินการเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

บอร์ดสปสช.ถกค่าฉีดวัคซีน 1 พ.ค.66

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมบอร์ด สปสช.ในวันที่ 1 พ.ค.2566 แสดงว่าการฉีดวัคซีนคู่ทั้งโควิดและไข้หวัดใหญ่ต้องรอบอร์ดก่อนหรือไม่ หรือสามารถฉีดได้เลย นายอนุทิน กล่าวว่า  ตอนนี้ฉีดได้กลุ่มเสี่ยงก่อน เป็นการเตรียมตัวในเรื่องวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แต่วัคซีนโควิดฉีดได้เลย ซึ่งประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถเดินเข้าไปรับวัคซีนคู่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม 608 กลุ่มเดินทางสัญจรไปมาท่ามกลางคนมากมาย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข

 เมื่อถามกรณีในอนาคตวัคซีนโควิดจะฉีดฟรีเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ส่วนคนทั่วไปต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า โควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น เหมือนไข้หวัดใหญ่ หวังว่าในอนาคตเทคโนโลยีทางการแพทย์อาจมีวัคซีนรวมสายพันธุ์เกิดขึ้น แต่เมื่อพี่น้องประชาชนมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น การแพร่ระบาดโควิดก็จะลดความรุนแรง ก็จะจำกัดเป็นกลุ่มเสี่ยง เหมือนที่เราให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่เน้นกลุ่มเสี่ยงเป็นหลัก ซึ่งไม่ต้องวิตกกังวล และในอนาคตองค์การเภสัชกรรมก็มีการพัฒนาวัคซีนโควิด ล่าสุดแจ้งว่า การทดลองในมนุษย์ 4,000 ตัวอย่าง ขณะนี้ฉีดกลุ่มตัวอย่างครบแล้ว และผลลัพธ์ค่อนข้างมีประสิทธิผลดีมาก ซึ่งตนได้รับรายงานมาและเรียนให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมท่านใหม่ ซึ่งจะทำให้บริหารจัดการได้รวดเร็ว เพื่อให้นำออกมาใช้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน

เมื่อถามว่าการฉีดวัคซีนรองรับแรงงานต่างด้าวหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ได้ทุกคน กลุ่มเสี่ยงได้หมด ฉีดคนไทยทุกคน แต่ไม่ฉีดคนที่อาศัยในประเทศไทยคงไม่ได้ช่วยอะไร

“การจัดหาวัคซีนโควิดในอนาคตเราหวังว่า วัคซีนของอภ.จะได้ผลดี เราก็จะจัดหาได้ง่าย แต่หากยังไม่ได้ ก็ต้องจัดหาแหล่งอื่นเพื่อเสริมความมั่นใจในแต่ละปี แต่ผมมั่นใจว่า วันหนึ่งเราจะเห็นการรวมสายพันธุ์ต่างๆในวัคซีนเข็มเดียว ส่วนขณะนี้วัคซีนโควิดยังฟรี โดยเฉพาะภาครัฐ ส่วนเอกชน วัคซีนที่เราจัดสรรไปนั้นไม่ได้คิดค่าใช้จ่าย แต่เขาจะคิดค่าฉีดค่าบริการก็ขึ้นกับแต่ละแห่ง แต่ของภาครัฐฟรีหมด จัดส่งให้รพ.รัฐทั่วประเทศ” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทินกล่าวว่า สำหรับเอกชน หากประสงค์จะซื้อวัคซีนเองก็ทำได้ อยู่ที่ตัวแทนผลิตจะขาย เพราะตอนนี้อย.ให้การรับรอง เพียงแต่บางยี่ห้อปลดแล้วก็ซื้อได้ อยู่ที่คนขาย แต่ในส่วน สธ.เรามีความสัมพันธ์ดีกับหลายประเทศ อย่างปีนี้ไม่ต้องซื้อวัคซีนโควิด เพราะรัฐบาลจากมิตรประเทศของเราได้แสดงความจำนงให้รัฐบาลไทยเป็นจำนวนมาก