ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ยกระดับ “30บาทพลัส”  สร้าง Quick Win ให้ได้ใน 100 วันแรก เริ่มจาก “มะเร็งครบวงจร-วัคซีน HPV” ส่วนบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่เล็งนำร่อง 2-3 เขตพื้นที่สุขภาพ ย้ำ! บุคลากรสาธารณสุขต้องทำงานอย่างมีความสุข เป็นต้นแบบคนสุขภาพดี มีความก้าวหน้า มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  หนุนส่งเสริมการมีลูก 

 

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 15 กันยายน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข  พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดสธ. ร่วมประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขวาระพิเศษ  ซึ่งถือเป็นการประชุมครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อชี้แจงนโยบายและแนวทางการบริหารงานกระทรวงสาธารณสุข

ยกระดับ 30 บาทพลัส ชู 100 วันเห็นผล "มะเร็งครบวงจร"

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า  สำหรับการขับเคลื่อนงานของกระทรวงสาธารณสุข จะน้อมนำและพัฒนางานสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และยกระดับ 30 บาทพลัส ที่ครอบคลุมการดูแลสุขภาพในทุกมิติ ทั้งการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีของคนไทย ผ่านนโยบาย 12 ประเด็น ได้แก่ 1.โรงพยาบาล กทม. 50 เขต 50 โรงพยาบาล และปริมณฑล 2.สุขภาพจิต/ยาเสพติด 3.มะเร็งครบวงจร 4.สร้างขวัญกำลังใจบุคลากร 5.การแพทย์ปฐมภูมิ 6.สาธารณสุขชายแดนและพื้นที่เฉพาะ 7.สถานชีวาภิบาล 8.พัฒนาโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่าย 9.ดิจิทัลสุขภาพ 10.ส่งเสริมการมีบุตร 11.เศรษฐกิจสุขภาพ และ 12.นักท่องเที่ยวปลอดภัย

“สำหรับเรื่องมะเร็ง ทางสธ.จะทำโครงการมะเร็งครบวงจร โดยนโยบายเด่นที่ประกาศไว้คือ การให้วัคซีนมะเร็งปากมดลูก(HPV) ที่จะให้เด็กหญิงอายุ 9-15 ปี โดยจะดำเนินการใน 100 วันแรก" นพ.ชลน่าน กล่าว

บุคลากรสธ.ต้องมีความสุข มีความก้าวหน้า

นอกจากนี้ เราต้องสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เราต้องทำให้คนที่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพ เป็นคนสุขภาพดี ทำงานด้วยความสุข มีความก้าวหน้า มีความมั่นคง และอยู่ในสังคมอย่างมีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเราจะเป็นต้นแบบของคนสุขภาพดี โดยเราให้ความสำคัญทุกระดับ รวมถึงพี่น้อง อสม.

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า การให้บริการการแพทย์ปฐมภูมิ เป็นสิ่งสำคัญมาก โดยจะขยายแม่ข่ายของรพ.ชุมชน มารองรับ งานดูแลสาธารณสุขเฉพาะในพื้นที่เปราะบาง พื้นที่ชายแดนเราให้ความสำคัญหมด รวมถึงงานเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงระยะสุดท้าย นอกจากนี้ สธ. จะมีการปรับโครงสร้างด้วยการนำดิจิทัลเฮลธ์เข้ามา เชื่อมโยงข้อมูล ศูนย์ข้อมูลกลาง เพื่อใช้ในการดูแลประชาชนด้วยการใช้ “บัตรประชาชนใบเดียว” ให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างสะดวกตามความจำเป็น

ส่งเสริมอนามัยเจริญพันธุ์ 

รัฐมนตรีว่าการสธ. กล่าวอีกว่า การส่งเสริมอนามัยเจริญพันธุ์ ให้คนมีบุตรอย่างมีความพร้อม โดยทางกรมอนามัยจะส่งเสริมเรื่องนี้ และรัฐบาลให้การสนับสนุน เพราะประเด็นนี้สำคัญมาก เนื่องจากโครงสร้างประชากรเปลี่ยนไป โดยในปี 2565 อัตราเสียชีวิตมากกว่าอัตราเกิด แม้ตัวเลขอัตราการตายจะอยู่ที่  5 แสน ต่อปี เท่ากับอัตราเกิด แต่เมื่อเทียบสัดส่วนถือกระทบอัตราการเกิดมาก  ตัวเลขนี้น่าตกใจมาก เพราะตัวเลขที่เหมาะสำหรับอัตราการเกิดต้องไม่น้อยกว่า 2.1 ต่อแสนประชากร หรือประมาณ 2 ล้านคน แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 1.5-1.6 ต่อแสนประชากร ทำให้ฐานประชากรของวัยแรงงานลดน้อยลง ขณะที่การดูแลสุขภาพดีขึ้น ผู้สูงอายุจึงมีมาก และเป็นสังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์แบบ มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากร ปัจจุบันผู้สูงอายุมีประมาณ 12-13 ล้านคน เรื่องนี้จึงต้องให้ความสำคัญเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่าการส่งเสริมการมีบุตรจะอยู่หนึ่งในนโยบายที่ต้องทำแบบควิกวินหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องนี้คงทำควิกวินไม่ได้ เพราะตนประชุมร่วมแพทยสภา มีอาจารย์แพทย์บอกว่า การส่งเสริมการมีลูกไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากคือ ทำอย่างไรให้หาคู่สมรสให้ได้ก่อน ตนด้วยความเข้าใจก็ต้องทำทุกมิติควบคู่กันไป เพราะสภาพเศรษฐกิจ สังคมแบบนี้ อาจทำให้คนตัดสินใจมีคู่ครอง หรือมีลูกค่อนข้างลำบาก เราต้องสร้างภาวะ สร้างโอกาส สิ่งแวดล้อมให้เกิดการตัดสินใจได้

เมื่อถามว่า คู่แต่งงานไม่อยากมีลูกจะทำอย่างไรให้ดึงดูด นพ.ชลน่าน กล่าวว่า คงต้องมอบให้กรมอนามัย ทำหน้าที่ในการส่งเสริมคู่แต่งงานมีลูก ส่วนความพร้อมด้านอื่นๆ อาจต้องกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งตนจะนำเรื่องนี้เสนอท่านนายกฯ เป็นวาระแห่งชาติ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่มิติสุขภาพเท่านั้น ยังมีสังคม เศรษฐกิจ เช่น รัฐบาลจะรับดูแลบุตรคนที่ 3 หรือไม่ หรือรับดูแลคนที่ 2 จนจบระดับการศึกษาปริญญาตรีหรือไม่ เหมือนนโยบายเด็กแรกเกิดที่ได้ 600 บาทต่อคน แต่ก็มีคนเสนอ 3 พันบาท ก็ต้องนำมาพิจารณากันต่อไป

มะเร็งครบวงจร ดูแลคัดกรอง จนถึงรักษาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีควิกวินที่จะทำ คือ มะเร็งครบวงจร จะมีแนวทางดูแลอย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า มะเร็งครบวงจร จะมีระบบเข้าไปดูแล เนื่องจากการดูแลโรค ในหลักระบาดวิทยา ไม่ได้แตกต่างกัน เราเอาหลักการตรงนั้นมาวางไว้ มุ่งไปที่มะเร็ง โดยการเฝ้าระวัง การคัดกรองต้องทั่วถึง อย่างมะเร็งที่เป็นปัญหาของเพศชายในภาคเหนือ ภาคอีสาน คือ มะเร็งท่อน้ำดี ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสามารถตรวจปัสสาวะ เพื่อหาแอนติเจนของตัวพยาธิใบไม้ตับได้ ก็จะนำเทคโนโลยีนี้มาตรวจหาคนไข้ให้เร็วเพื่อรักษาได้เร็วที่สุด หากรักษาได้เร็วก็จะทำให้ค่าเฉลี่ยอายุขัยได้มากกว่า 5 ปี  เราดูแลครบวงจรทั้งหมด   

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ แต่หลายพื้นที่ยังไม่ได้วัคซีนป้องกัน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า  กระทรวงฯ มีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้ประจำปี กระจายให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง  โดยปัจจุบันสปสช.จัดหาประมาณ 4.3 ล้านโดส กระจายหมดแล้ว ยังมีองค์การเภสัชกรรมอีกประมาณ 1 แสนโดส แต่เบื้องต้นเรามุ่งเน้นให้กลุ่มเสี่ยง ทั้งผู้สูงอายุเกิน 60 ปี ผู้มีโรคประจำตัว เป็นตัว หรือที่เรียกว่ากลุ่ม 608

บัตรปชช.ใบเดียวนำร่อง 2-3 เขตสุขภาพ

เมื่อถามว่าบัตรประชาชนใบเดียวจะเลือกเขตสุขภาพไหนเริ่มก่อน หรืออาจเป็นเขตสุขภาพที่ 8 เนื่องจากมีการดำเนินการแล้ว นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยังอยู่ระหว่างพิจารณาเลือกเขตสุขภาพที่เหมาะสม น่าจะเลือกประมาณ 2-3 เขตสุขภาพ

รมช.หนุนปชช.เข้าถึงบริการ ลดภาระค่าเดินทาง

นายสันติ กล่าวว่า จากการทำงานในพื้นที่มานานทำให้ทราบถึงปัญหาในการเข้ารับบริการสุขภาพของประชาชน ทั้งเรื่องภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การรอรับบริการนาน ดังนั้น จะช่วยขับเคลื่อนกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นที่พึ่งของประชาชนที่เจ็บป่วย โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ให้ได้เข้าถึงบริการสุขภาพที่สะดวก รวดเร็ว สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของประชาชน รวมถึงส่งเสริมการดูแลสุขอนามัยแม่และเด็ก เพื่อเพิ่มบุคลากรที่มีคุณภาพมาพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ รองรับการเป็นสังคมสูงวัย ทำให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคงแข็งแรง สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น