ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงสาธารณสุข จัดกิจกรรม “Survival Swimming Skills เพื่อเด็กไทยไม่จมน้ำ” เพิ่มทักษะเด็กไทย กว่า 3,000 คน ในการเอาชีวิตรอดจากการจมน้ำ ช่วยเหลือและทำ CPR ให้กับคนที่จมน้ำ พร้อมผลักดันสร้างทีมผู้ก่อการดี ป้องกันการจมน้ำให้ครอบคลุมทุกตำบลทั่วประเทศ

วันนี้ (26 ตุลาคม 2566) ที่ สระว่ายน้ำกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรม “Survival Swimming Skills เพื่อเด็กไทยไม่จมน้ำ” โดยมี นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์พงศธร พอกเพิ่มดี รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เด็กที่สมัครเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 300 คน ร่วมงาน

“Survival Swimming Skills เพื่อเด็กไทยไม่จมน้ำ”

นายสันติ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการจมน้ำ เนื่องจากเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั้งในระดับโลกและประเทศ จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่า การจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในกลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี สำหรับประเทศไทย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2556 – 2566) พบเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิต 6,992 คน เฉลี่ยปีละเกือบ 700 คน โดยเด็กอายุ 1 - 9 ปี มีการเสียชีวิตสูงสุด โดยเฉพาะช่วงปิดเทอมใหญ่หน้าร้อน (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม) สาเหตุที่พบบ่อยคือ ขาดทักษะการเอาชีวิตรอดในน้ำและการช่วยเหลือคนตกน้ำ จมน้ำที่ถูกต้อง

ขณะที่ผลสำรวจของกรมควบคุมโรค ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2562 พบว่าเด็กไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป ว่ายน้ำเป็น ร้อยละ 28.4 และว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดได้เพียงร้อยละ 9.4 (เด็กไทยเกือบ 7 ล้านคนว่ายน้ำเป็นเพียง 1.9 ล้านคน) ซึ่งประเทศไทยได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำตามมติสหประชาชาติที่เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งดำเนินการป้องกันการจมน้ำ ใน 10 ประเด็นหลัก ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การสอนให้เด็กทุกคนมีความรู้เรื่องความปลอดภัยทางน้ำ มีทักษะการว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด และการปฐมพยาบาล โดยการสร้างทีมผู้ก่อการดี (MERIT MAKER) เพื่อป้องกันการจมน้ำให้ครอบคลุมทุกตำบล จนเกิดเป็นผลสำเร็จและเป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก

กิจกรรมสำคัญ คือ 1.สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งมีการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองและผู้ดูแลเด็ก ขณะที่พาเด็กมารับวัคซีน/ตรวจพัฒนาการ 2.การสนับสนุนให้เด็กแรกเกิด - 2 ปี มีคอกกั้นเด็กใช้ในทุกครัวเรือน และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มีพื้นที่เล่นที่ปลอดภัย 3.การร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ สนับสนุนให้เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป สามารถว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดได้ มีความรู้เรื่องความปลอดภัยทางน้ำ ทักษะการเอาชีวิตรอด วิธีการช่วยเหลือคนตกน้ำ และ 4.ให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ทำ CPR เป็น เนื่องจากการปกป้องคุ้มครองเด็กไม่ให้เสียชีวิตจากการจมน้ำเป็นงานสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา เพื่อลดการเสียชีวิตของเยาวชนก่อนวัยอันควร

ด้านนายแพทย์ธงชัย กล่าวว่า การ Kick off กิจกรรมรณรงค์ “Survival Swimming Skills เพื่อเด็กไทยไม่จมน้ำ” จะทำให้เด็กที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้จำนวน 300 คน และอีก 3,000 คน จาก 15 จังหวัด ที่ร่วมกิจกรรมตลอดเดือนตุลาคม ได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติทักษะเบื้องต้น ทั้งการเอาชีวิตรอดทางน้ำ การช่วยเหลือคนตกน้ำ และการทำ CPR ช่วยคนจมน้ำ และจะขยายผลไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงเร่งส่งเสริมผลักดันให้เกิดการสร้างทีมผู้ก่อการดี (MERIT MAKER) ให้ครอบคลุมทุกตำบล เพื่อปกป้องเด็กไทยทั่วประเทศ