ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล-สสส. ประกาศเดินหน้ายุติปัญหา ความรุนแรง หลังพบสถิติปี 65 ยอดพุ่ง 3 เท่า เฉพาะที่เป็นข่าวนับพันเหตุการณ์ ฆ่ากันตายมากสุดในทุกๆ ปี สุดห่วงเหล้า-ยา เป็นปัจจัยกระตุ้น 

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2566 ที่ศูนย์การค้าจามจุรีสแควร์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับบริษัท สปา - ฮาคูโฮโด จำกัด (SPA HAKUHODO) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา “หยุดสัญญาณร้าย..ก่อนกลายเป็นข่าวพาดหัว” เนื่องในเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี โดยจัดทำหนังสือพิมพ์เฉพาะกิจ จำลองสถานการณ์ความรุนแรงที่กลายเป็นข่าวพาดหัวแจกจ่ายกลางเมือง แจกผู้ร่วมงานและประชาชนทั่วไป เพื่อการกระตุ้นเตือนให้สังคมเฝ้าสังเกต และไม่เพิกเฉยต่อสัญญาณอันตราย  

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า  สสส. เห็นความสำคัญของการยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และครอบครัว จึงร่วมกับภาคีเครือข่ายทำงานเชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนประเด็น สะท้อนปัญหา และถอดบทเรียน ไปสู่การหาแนวทางแก้ไขเพราะหากไม่ป้องกันตั้งแต่ต้นทาง ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวส่งผลกระทบต่อการมีสุขภาวะทั้ง กาย จิต ปัญญา และสังคม จากข้อมูลผู้ขอคำปรึกษาของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ปี 2565 พบผู้หญิงถูกกระทำความรุนแรงเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย โดยผู้กระทำส่วนใหญ่มีแอลกอฮอล์และสารเสพติดเป็นตัวกระตุ้น ซึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นต้นทางของปัญหา 4 มิติ 
1.ด้านสุขภาพ ก่อให้เกิดโรคตับจากแอลกอฮอล์ โรคตับ โรคหัวใจขาดเลือด ภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษเฉียบพลัน 
2.ด้านสังคมและวัฒนธรรม เกิดความรุนแรงในครอบครัว ทะเลาะวิวาท อุบัติเหตุทางถนน 
3.ด้านเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ ทำให้สูญเสียค่ารักษาพยาบาลมหาศาล หน้าที่การงานมีปัญหา ทรัพย์สินเสียหายจากอุบัติเหตุ ประเทศขาดโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจ สะท้อนให้เห็นปัญหาด้านลบต่อประเทศชัดเจน 
4.ความรุนแรงในครอบครัว มีการศึกษาพบว่า 80% ได้รับผลกระทบจากคนที่ดื่มแอลกอฮอล์  

“ข้อมูลล่าสุดของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล พบว่าความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นกับผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ที่สำคัญคือผู้ถูกกระทำทุกคนหรือ 100% ถูกกระทำซ้ำและทวีความรุนแรงขึ้น จุดนี้ยิ่งทำให้ สสส. ร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เดินหน้าเชิงรุก ประกาศเจตนารมณ์เดียวกันที่จะทำให้เหตุการณ์ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวลดลงให้มากที่สุด และกิจกรรมในวันนี้จะเป็นการเปิดประสบการณ์ สัญญาณ ร้าย... ก่อนกลายเป็นข่าวพาดหัว ซึ่งมีกรณีผู้ประสบปัญหาจริงมาเล่าประสบการณ์ที่ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนสังคม นำสู่การพิจารณามาตรการทางนโยบายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยุติปัญหาเหล่านี้” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว 

นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า จากการสรุปสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวปี 2565 ที่เผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ พบแนวโน้มการก่อเหตุรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า โดยมีรายงานข่าวถึง 1,131 เหตุการณ์ เพิ่มจากปี 2564 ที่มี 373 เหตุการณ์ ปี 2563 มี 593 เหตุการณ์ ปี 2561 มี 623 เหตุการณ์ และ ปี 2559 มี 466 เหตุการณ์ ลักษณะที่พบมากสุดในปี 2565 คือ ฆ่ากัน 534 เหตุการณ์ คิดเป็น 47.2% ทำร้ายกัน 323 เหตุการณ์ คิดเป็น 28.6% ฆ่าตัวตาย 155 เหตุการณ์ คิดเป็น 13.7% ความรุนแรงทางเพศ 64 เหตุการณ์ คิดเป็น 5.6%  และความรุนแรงในครอบครัว 55 เหตุการณ์ คิดเป็น 4.9% 

“ที่น่าห่วงคือการมองปัญหาครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัวภายใต้ระบบคิดแบบชายเป็นใหญ่ การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว สังคมต้องเริ่มต้นจากการป้องกันโดยจับสัญญาณตั้งแต่ระยะแรก มีปัจจัยกระตุ้นจากแอลกอฮอล์ ซึ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น การแก้ไขหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น พัฒนาศักยภาพอาสาสมัครในพื้นที่ให้มีทักษะในการจับสัญญาณความรุนแรงในครอบครัวเพื่อช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และพัฒนากลไกให้การคุ้มครองผู้ประสบปัญหาและการปรับทัศนคติผู้กระทำด้วย ที่สำคัญคือการปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก  เรื่องการเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกาย ภรรยาไม่ใช่สมบัติของสามี” นางสาวจรีย์ กล่าว 

นายพิชัยพัชร์ ตนานนท์ Account Management SPA HAKUHODO กล่าวว่า ได้ทำงานร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลมาก่อน ปีนี้จึงอยากช่วยทำงานด้านการสื่อสารเพื่อยุติความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดสถิติความรุนแรง เพราะต้องยอมรับว่า ปัจจุบันในสังคมยังมีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่คนกลับชินชาจนมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ จึงอยากรณรงค์สังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนรับรู้ รับฟังคนที่เคยประสบความรุนแรง และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคส่วนต่างๆ ต้องเข้ามาร่วมมือกันจึงจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง 

ด้าน ดร. วราภรณ์ แช่มสนิท ที่ปรึกษาแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถีศึกษา กล่าวว่า สถิติข่าวความรุนแรงที่รับรู้ผ่านสื่อมวลชน ยืนยันว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวกำลังเป็นปัญหาร้ายแรงที่ทุกองคาพยพของสังคมไทยต้องร่วมกันแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะไม่ได้สร้างความทุกข์และความเสียหายเฉพาะกับผู้ถูกกระทำ แต่ส่งผลกระทบเรื้อรังไปถึงคนรุ่นต่อไปที่ต้องเติบโตมาในครอบครัวและสังคมที่มีการใช้ความรุนแรงด้วย โดยอยากให้ภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมร่วมมือกันแก้ไขปัญหาความรุนแรงนี้ และคาดหวังว่าหน่วยงานภาครัฐซึ่งมีทรัพยากร กำลังคน และอำนาจทางการบริหารที่จำเป็นในการจัดการปัญหา กำหนดยุทธศาสตร์ วางแผน และลงมือปฏิบัติการเพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอย่างจริงจัง เพราะว่าแม้จะพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองของไทยให้ก้าวหน้าไปอย่างไร หากปัญหาความรุนแรงในครอบครัวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและได้ผล ปัญหานี้จะกลายเป็นตัวบ่อนเซาะทำลายรากฐานคุณภาพชีวิตของคนในสังคมโดยรวม และยิ่งเห็นผลกระทบของปัญหาความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในอนาคต