ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมควบคุมโรคเผยปี 2566 พบโรคระบาดมากที่สุด 3 อันดับแรก “ไข้เลือดออก” แซง “หวัดใหญ่-โควิด19”  ส่วนโรคอื่นๆไม่ได้มีการระบาดทั่วไป แต่เป็นเฉพาะกลุ่มและพื้นที่ เช่น  ฝีดาษวานร มีการระบาดเฉพาะกลุ่มชายรักชาย และไอกรนระบาดพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  

 

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข  กล่าวถึงกรมควบคุมโรคได้สรุปโรคติดต่อที่มีการระบาดและมีผู้ป่วยจำนวนมากที่สุด 3 อันดับแรกในปี 2566 ที่ผานมา  คือ 1.โรคไข้เลือดออก 2. โรคไข้หวัดใหญ่ และ3.โรคโควิด-19 โดยรายละเอียดดังนี้

1.โรคไข้เลือดออก

ทุกปีที่เกิดเอลนีโญจะเป็นปีที่ระบาด โดยปี 2566 เป็นปีแรกและจะเกิดการระบาดติดต่อกัน 2 ปี  และในปี 2567 อาจจะระบาดมากหรือน้อยกว่าปี 2566 ขึ้นอยู่กับประชาชนช่วยกันดูแล สามารถควบคุมลูกน้ำยุงลาย  ให้มีปริมาณยุงน้อยที่สุดได้ โอกาสการระบาดก็จะน้อยลง จึงขอให้ทายากันยุงในการป้องกันตัวเองด้วย

วันที่ 1 มกราคม – 13 ธันวาคม 2566 มีรายงานผู้ป่วย รวม 147,412 ราย อัตราป่วย 222.91 ต่อประชากรแสน คน ผู้ป่วยสูงกว่าปีที่ผ่านมา 3.4 เท่า กระจายทั่วประเทศ และพบผู้ป่วยเสียชีวิตที่ได้รับการตรวจยืนยันทาง ห้องปฏิบัติการ รวม 174 รายจาก 57 จังหวัด อัตราป่วยตาย 0.12 % โดยอัตราป่วยตายสูงสุดในกลุ่มอายุ 25 - 34 ปี ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และภาวะอ้วน  ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการในผู้เสียชีวิตพบไวรัสเดงกีทั้ง 4 สายพันธุ์ โดยพบ DENV-2 มากที่สุด รองลงมา คือ DENV-1 DENV-3 และ DENV-4 ตามลำดับ

“ขณะนี้องค์การอนามัยโลก(WHO)ก็ให้ความสนใจกับสถานการณ์ไข้เลือดออกที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งในเมืองร้อนและเมืองหนาว จากสภาวะโลกร้อน และ One Health ซึ่งไม่ได้ดูแค่ตัวมนุษย์เอง แต่ยังดูรวมถึงสิ่งแวดล้อม และสัตว์ มีความสัมพันธ์กัน  ทั่วโลกจึงให้ความสำคัญเรื่องโลกเป็นหนึ่งต้องดูแลกันและกัน เมื่อสิ่งแวดล้อมถูกทำลายก็ส่งผลถึงคนได้ สัตว์สามารถนำโรคสู่คนได้ คนก็สามารถนำโรคสู่สัตว์ได้”นพ.ธงชัยกล่าว 

          

2.ไข้หวัดใหญ่

เนื่องจากเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เมื่ออากาศเย็น หนาว หรือสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลง  ร่างกายภูมิคุ้มกันจะต่ำลง โอกาสจะติดเชื้อและป่วยก็สูงขึ้น เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งในปี 2566 จำนวนผู้ป่วยมากกว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่มีการระบาดโควิด-19 การติดต่อของโรคทั้ง 2 นี้เหมือนกัน เมื่อมีการป้องกันตัวเองจากโควิด-19 จึงทำให้ป้องกันการติดไข้หวัดใหญ่ด้วย แต่เมื่อประชาชนเริ่มผ่อนคลายตัวเองในการป้องกัน  การป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่จึงเพิ่มจำนวนมากขึ้น

ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการของทางเดินหายใจ มีน้ำมูก ไอ จามควรใส่หน้ากากอนามัย ส่วนผู้ที่ปกติก็พกหน้ากากอนามัยไว้ หากอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มั่นใจ เช่น ที่สาธารณะคนแอออัดก็ใส่หน้ากากอนามัยได้ และการล้างมือบ่อยๆยังเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุม ป้องกันโรค เพราะไม่รู้ว่ามีใคร ไอ  จามตรงไหน แล้วมือเราไปสัมผัส มาหยิบจับอาหารเข้าปากหรือขยี้ตา ดังนั้น ยังแนะนำประชาชนให้พกหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือตลอดเวลา เมื่อมีความจำเป็นสามารถหยิบใช้ได้ทันที 

 วันที่ 1 มกราคม - 16 ธันวาคม 2566 มีรายงานผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ 460,325 ราย ผู้เสียชีวิต 29 ราย อัตราป่วยตาย 0.006 % พบอัตราป่วยสูงสุดในเด็กกลุ่มอายุ 0 - 4 ปี  จำนวน 2,414.02 ต่อประชากรแสนคน รองลงมา กลุ่มอายุ 5-14 ปี จำนวน 2,401.64ต่อประชากรแสนคน และอายุ 15-24 ปี จำนวน 716.10 ต่อประชากรแสนคน

           

3.โควิด-19

ยังมีผู้ป่วยแต่ไม่ถึงกับระบาดเหมือนช่วง2-3ปีที่ผ่านมา ลดน้อยกว่าเดิม  ความรุนแรงไม่ได้เพิ่มขึ้น และการเสียชีวิต การต้องนอนโรวพยาบาล การต้องใส่เครื่องช่วยหายใจไม่ได้มากขึ้น เนื่องจากการมีภูมิคุ้มกัน ส่วนหนึ่งได้มาจากวัคซีน ส่วนหนึ่งเคยติดเชื้อมาแล้ว อย่างไรก็ตามพบว่าผู้เสียชีวิตและผู้เจ็บป่วยรุนแรง ยังเกิดในกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว ที่สำคัญ ไม่ได้รับวัคซีนเลย

        

วันที่ 1 มกราคม – 23 ธันวาคม 2566 มีรายงานผู้ป่วยนอนรักษาในโรงพยาบาล รวม 37,863 ราย, ปอดอักเสบ จำนวน 114 ราย, เสียชีวิต รวม 845 ราย พบการระบาดในวงกว้างช่วงต้นปี 2566 ต่อเนื่องจากปี 2565 และพบการระบาด ใหญ่ในช่วงกลางปี เดือน เมษายน – กรกฎาคม 2566 โดยมีผู้ป่วยที่ได้รับรายงานสุงสุด ในสัปดาห์ที่ 22 จำนวน 3,085 ราย และพบผู้เสียชีวิตสูงสุด ในสัปดาห์ที่ 23 จำนวน 69 ราย

โรคอื่นๆ มีฝีดาษวานร และไอกรนภาคใต้

ส่วนโรคอื่นๆไม่ได้มีการระบาดทั่วไป มีการเฝ้าระวังและไม่อยากให้เกิดขึ้นมา เช่น ฝีดาษวานร มีการระบาดเฉพาะกลุ่ม  ชายรักชาย  โดยในกลุ่มผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ได้รับประทานยา พบว่าเสียชีวิต ไม่ได้เนื่องจากฝีดาษวานร แต่เป็นเอดส์แล้วไม่ทานยาแล้วมาติดเชื้อฝีดาษวานรร่วมด้วย สิ่งที่ทำให้เสียชีวิตคือโรคตัวอื่น

รวมถึงไอกรนระบาดเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีอัตราความครอบคลุมของการรับวัคซีนต่ำ เมื่อมีเชื้อ โอกาสที่จะแพร่กระจายและโอกาสติดได้  จึงไม่ได้เป็นการระบาดในภาพรวม ส่วนภาคใต้ก็ไม่ได้ระบาดมาก แต่เพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาและเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง 

 

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง : เปิดรายละเอียดพยากรณ์ 'โรคติดต่อ' แนวโน้มระบาดปี 67