ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สสส.-สปสช.-กทม.-สถาบันนิติวิทย์ฯ เปิดงาน Kick off 3 รพ. ร่วมเปิดหน่วยเก็บ DNA ค้นหา-พิสูจน์-ยืนยันตัวตน ช่วย “คนไทยไร้สิทธิ” เข้าถึงบริการระบบหลักประกันสุขภาพ

เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2567 ณ โรงพยาบาลสิรินธร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และภาคีเครือข่าย เปิดงาน Kick off โรงพยาบาลสิรินธร โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ และโรงพยาบาลกลาง เป็นหน่วยเก็บสิ่งส่งตรวจสารพันธุกรรม (DNA) พัฒนาการเข้าถึงบริการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กลุ่มคนไทยที่มีปัญหาสิทธิสถานะพื้นที่กรุงเทพฯ โซนกลางและตะวันออก 

พบ! กลุ่มคนไทยตกหล่นจากสถานะทางทะเบียนกว่า 520,000 คน

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า การไม่มีสิทธิสถานะทางทะเบียน ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะระบบหลักประกันสุขภาพ และสวัสดิการภาครัฐ ปัจจุบันมีกลุ่มประชากรคนไทยที่ตกหล่นจากสถานะทางทะเบียนกว่า 520,000 คน ตั้งแต่ปี 2556 สสส. ภาคีเครือข่ายร่วมทำงานพิสูจน์สิทธิ และการเข้าถึงบริการสุขภาพในกลุ่มผู้มีปัญหาสถานะบุคคลอย่างต่อเนื่อง พัฒนารูปแบบแนวทางเข้าถึงสุขภาพ และผลักดันให้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ด้วยกระบวนการ 7 ขั้นตอน ของ “คนไทย ต้อง ไม่ไร้สิทธิ” ที่กระทรวงมหาดไทยได้ขึ้นทะเบียน ขับเคลื่อนเชิงนโยบายเพิ่มชุดสิทธิประโยชน์ และงบประมาณ เช่น 

  • งบรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี 
  • งบล้างไต 
  • ยากำพร้าหรือยาที่มีความจำเป็นต้องใช้บรรเทา บำบัด ป้องกัน รักษาโรคที่พบได้น้อย โรคอันตรายร้ายแรง ใช้ระบบเดียวกับ สปสช. 

สสส.ร่วมผลักดันกลุ่มคนไทยไร้สิทธิและกลุ่มชาติพันธุ์ 2,570 คน เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ

ปัจจุบัน สสส. ภาคีเครือข่าย ร่วมผลักดันการทำงาน แก้ไขนโยบายผ่าน คณะทำงานพัฒนาการเข้าถึงบริการระบบหลักประกันสุขภาพของกลุ่มคนไทยที่มีปัญหาสถานะ เกิดความร่วมมือระหว่าง 9 หน่วยงาน ทำงานใน 12 จังหวัด ทำให้มีกลุ่มคนไทยไร้สิทธิและกลุ่มชาติพันธุ์ 2,570 คน เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ และเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสิทธิสุขภาพที่เหมาะสม

"สสส. ประสานความร่วมมือในการพัฒนาต้นแบบ กลไกการทำงาน และเสริมศักยภาพองค์กรภาคีต่าง ๆ สร้างรูปธรรมการทำงานทั้งในระดับพื้นที่ และนโยบาย จากการนำร่อง 1 จังหวัด 1 โรงพยาบาล ในปี 2564 สู่ 12 จังหวัด 20 โรงพยาบาล เสริมกระบวนการค้นหา ประสาน ส่งต่อ ติดตามสิทธิ เพื่อร่นระยะเวลาพิสูจน์สิทธิให้เร็วขึ้นจากเดิมใช้เวลาเป็นสิบปี เหลือเพียง 4-12 เดือน"

ตั้งเป้าขยายหน่วยเก็บ DNA ให้ครบ 13 เขต 

นพ.พงศ์เทพ ยังกล่าวถึงเป้าหมายต่อไป ว่า เป้าหมาย คือ การขยายหน่วยเก็บ DNA ให้ครบ 13 เขต สปสช. ปัจจุบันเปิดได้ 9 เขต คาดการณ์ว่าจะครบในปี 2570 ที่ผ่านมาการทำงานกับภาคีเครือข่าย ได้ชี้ให้เห็นว่ากรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ที่มีปัญหาคนไทยตกหล่นจากสิทธิสถานะทางทะเบียน ทำให้การขยายผลหน่วยเก็บ DNA เป็นส่วนสำคัญที่ร่วมแก้ไขปัญหาให้มีความครอบคลุม และเพิ่มประสิทธิภาพคืนสิทธิให้คนไทย ไม่มีใครต้องไร้สิทธิ 

นพ.พงศ์เทพ เพิ่มเติมว่า สสส.ทำหน้าที่เสริมประสานให้หน่วยอื่น ๆ เข้ามาเสริมพลังขึ้น ชุมชนที่มีข้อมูลว่า คนไทยไร้สิทธิ อยู่ตรงไหน ก็เชื่อมประสานสำนักงานเขตในพื้นที่ กทม. หรือจังหวัดต่าง ๆ เพื่อเรียกร้องสิทธิได้ โดยคาดหวังว่า ครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นในกระบวนการค้นหา ทำงานร่วมกันในระยะยาว 

สปสช.เผย กรุงเทพฯ มีคนไทยที่ยังพิสูจน์สถานะไม่ได้-คนไร้บ้าน จำนวนมาก

พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 คือการดูแลคนไทยให้เข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นอย่างครอบคลุม และทั่วถึงรวมถึงคนไทยที่มีปัญหาสิทธิสถานะ เป็นหนึ่งในนโยบายที่ สปสช. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตามหลักการที่ยึดมั่นคือ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และในวันนี้จะเป็นอีกก้าวหนึ่งของ สปสช. ที่ได้ร่วมกับทาง กทม. สสส. สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และภาคีเครือข่าย สำหรับคนไทยที่มีปัญหาสิทธิสถานะนี้ กลุ่มเปราะบาง คนไร้บ้าน และคนไร้สิทธิ ซึ่งเป็นคนไทยตกหล่นด้วยสาเหตุต่าง ๆ เช่น ไม่ได้แจ้งเกิด เอกสารบุคคลสูญหาย ทำให้ไม่มีเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ส่งผลให้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานเหมือนกับประชาชนทั่วไป 

"การลงทะเบียนเพื่อจะมีสิทธิต้องใช้ตัวเลข 13 หลัก เป็นพื้นฐาน การพิสูจน์สถานะได้ จะทำให้เข้ามาอยู่ในระบบ จึงต้องอาศัยความร่วมมือกับหลายหน่วยงานเพื่อให้เกิดการพิสูจน์สถานะ ไม่เช่นนั้นผู้ป่วยก็ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง" พญ.ลลิตยา กล่าวและว่า การเข้าถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล ตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปัจจุบันมีผู้ใช้สิทธิ 99.56% ที่ยังขาดไปเป็นประชาชนที่มีปัญหาสถานะ ไม่มีบัตรประชาชน โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่าง กทม. ที่มีความซับซ้อน คนไทยที่ยังพิสูจน์สถานะไม่ได้ มีประชากรแฝง และคนไร้บ้านมีจำนวนมาก ความร่วมมือที่ต่อเนื่องในวันนี้ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยเปิดโอกาสให้กลุ่มคนเปราะบางพื้นที่กรุงเทพฯ ได้พิสูจน์สถานะความเป็นคนไทย และได้รับสิทธิต่างๆ ที่ควรได้รับ รวมถึงสิทธิบัตรทอง 30 บาท ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

Kick off 3 รพ. ช่วยพิสูจน์ตัวตน "คนไทยไร้สิทธิ" ให้รวดเร็วขึ้น

ด้านดร.พญ.เลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรกว่า 10 ล้านคนรวมประชากรแฝง มีความหลากหลายของประชากรในพื้นที่ รวมถึงปัญหาที่ซับซ้อนแตกต่างกัน ในด้านสุขภาพแม้ว่าจะมีบริการทางการแพทย์ มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่ยังพบว่าคนไทยส่วนหนึ่งมีปัญหาสิทธิสถานะทางทะเบียน เข้าไม่ถึงสิทธิต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท ที่เป็นสิทธิของคนไทยทุกคน การ Kick off 3 รพ. เป็นหน่วยเก็บ DNA ครั้งนี้ เป็นการขยายต่อจากส่วนโซนธนบุรี โดย รพ.ราชพิพัฒน์ เมื่อ ต.ค. 2566 ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทำให้กระบวนการพิสูจน์ตัวตนมีความสะดวก รวดเร็วขึ้น ประชาชนไม่ต้องกลับไปดำเนินการที่ภูมิลำเนาเดิม จากเดิมที่มีสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และ รพ.รามาธิบดี ได้เพิ่มบริการในโรงพยาบาลสังกัด กทม. ตามนโยบายของผู้ว่าฯ กทม. ลดช่องว่าง ลดความเหลื่อมล้ำ ให้คนกรุงเทพฯ เข้าถึงสิทธิสุขภาพ สวัสดิการรัฐอย่างเท่าเทียม”

"คนไทยที่ยังตกหล่น ไร้สิทธิ ไร้สถานะ ทำให้ไม่มีสิทธิในสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐ โดยเฉพาะผู้ที่เจ็บป่วยที่ไม่สามารถใช้สิทธิได้ โดยตัวเลขของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์พบว่ามีประมาณ 500 คน แต่ยังมีที่ไม่รู้อีก ต้องอาศัยความร่วมมือจากชุมชนที่จะช่วยกันค้นหา หรือทำการสืบค้นจากผู้ป่วยที่มารักษาในโรงพยาบาล พร้อมกับประสานงานสำนักงานเขตต่อไป อย่างไรก็ตาม จากความร่วมมือครั้งนี้ ทำให้ประชาชนทุกคนในพื้นที่ประเทศไทยมีสิทธิ ตรงตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่อยากให้คน กทม.มีความสุข สุขภาพดี เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน" ดร.พญ.เลิศลักษณ์ กล่าว

พญ.ปานใจ โวหารดี ผู้อำนวยการกองนิติวิทยาศาสตร์บริการ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เสริมว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ดำเนินการตรวจสารพันธุกรรมภายใต้ โครงการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมแก่ราษฎรไร้สถานะ และประสบปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร โดยไม่มีค่าใช้จ่ายการตรวจพิสูจน์ในทุกประเภทการตรวจ และพัฒนาระบบโรงพยาบาลเครือข่ายจัดเก็บสารพันธุกรรมบุคคล ซึ่งเป็นการดำเนินงานเชิงรุก โดยความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและประชาสังคม ปัจจุบันมีเครือข่ายโรงพยาบาล 17 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม ได้มีเพิ่มขึ้นในวันนี้อีก 3 แห่ง รวม 20 แห่ง สถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะคงดำเนินการพัฒนาโรงพยาบาลเครือข่าย และมุ่งพัฒนาด้านคุณภาพมาตรฐานอย่างต่อเนื่องต่อไป