ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จัดเวทีสานเสวนา “การขับเคลื่อนกลไกส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยสุขภาพของประเทศ” นำโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบวิจัยสุขภาพ พร้อมด้วย นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.เทียม อังสาชน ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ภูษิต ประคองสาย รักษาการผู้อำนวยการ สวรส.  และคณะทำงานปรับปรุง (ร่าง) พรบ.ฯ  ร่วมด้วยผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อภาพรวมการวิจัยสุขภาพของประเทศ ภายใต้สถานการณ์ปัญหาสุขภาพและสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น  ตลอดจนการพัฒนากลไกการวิจัยของประเทศกับ (ร่าง) พ.ร.บ.ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ พ.ศ. ... ที่ห้องประชุม
สานใจ 1/2 อาคารสุขภาพแห่งชาติ

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบวิจัยสุขภาพ กล่าวว่า ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางมานาน ซึ่งการจะก้าวข้ามผ่านกับดักการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง (Middle income trap) ไปสู่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง (High income countries) เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนนั้น กลไกสำคัญของการพัฒนา คือ “ระบบสุขภาพ” ซึ่งมีเป้าหมายทั้งในด้านสังคมที่ทำให้สุขภาพของประชาชนดีขึ้น และสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ และเป้าหมายด้านเศรษฐกิจ โดยระบบสุขภาพสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาด้านอื่นๆ ต่อไป ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ล้วนต้องการการวิจัย  

ทั้งนี้ เราควรมองเรื่องการใช้งบประมาณเพื่อการวิจัยให้เข้าใจตรงกันว่า “การวิจัยเป็นการลงทุน” ของประเทศไม่ใช่ค่าใช้จ่าย ซึ่งจะให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นตัวเงิน และไม่ใช่ตัวเงิน ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา มีงานวิจัยเชิงระบบที่สร้างผลลัพธ์สำคัญให้กับประเทศได้อย่างมากมาย เช่น งานวิจัยที่นำไปสู่การเกิดองค์กรอย่าง สปสช.  กับระบบหลักประกันสุขภาพที่ช่วยรับภาระค่าใช้จ่ายสุขภาพของคนไทย  หรือองค์กรสร้างเสริมสุขภาพคนไทยอย่าง สสส. ฯลฯ  ซึ่งถึงแม้จะเกิดองค์กรเหล่านี้แล้ว  ก็ยังมีความต้องการงานวิจัยเพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง  ตลอดจนงานวิจัยเพื่อลดค่าใช้จ่าย สร้างความยั่งยืนและความมั่นคงทางสุขภาพ

สอดคล้องกับรายงานการวิจัย “ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการปฏิรูประบบการวิจัยของประเทศไทย” โดย นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ และคณะ ซึ่งทำการศึกษาเมื่อปี 2546 ระบุว่า การวิจัยสามารถแสดงบทบาทต่อการตอบสนองการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างมูลค่าให้กับงานทั้งในด้านวัตถุและวัฒนธรรม ซึ่งการลงทุนด้านการวิจัยได้ก่อให้เกิดผลตอบแทนกลับคืนมาอย่างมาก โดยการวิจัยและพัฒนาของประเทศจะเข้มแข็งและก้าวหน้าได้ต้องได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างมีทิศทาง มีโครงสร้างรองรับอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคตและการปรับตัวของระบบวิจัยในประเทศต่างๆ พบว่ายังมีตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ยังมีปัญหาอยู่มาก เช่น  โครงสร้างระบบการวิจัยของประเทศที่ยังไม่ยืดหยุ่นและมีลักษณะแยกส่วน ขาดการปรับตัวที่ไวเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลง ขาดทิศทางนโยบายการวิจัยของประเทศ ขาดการเชื่อมโยงการวิจัยอย่างเป็นระบบ โดยที่ยังมีการใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนาของประเทศคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ยังต่ำ เป็นต้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบวิจัยและระบบการศึกษาที่เน้นการวิจัยเป็นฐานสำคัญ

ทั้งนี้  ศ.นพ.วิจารณ์ ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงขอบข่ายการดำเนินงานตาม (ร่าง) พ.ร.บ.ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพว่า  “อาจเรียกได้ว่าเป็นการยกระดับการทำงานขององค์กรเดิมที่มีอยู่อย่างเช่น  สวรส.  จากเดิมที่ทำเพียงงานวิจัยเชิงระบบ  ขยายเพิ่มให้ครอบคลุมงานวิจัยในทุกมิติทางสุขภาพ  เช่น การวิจัยทางคลินิก ที่จะทำให้เกิดการวิจัยด้านการรักษาผู้ป่วยเป็นรายๆ  โดยเน้นงานวิจัยเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการดูแลหรือจัดมาตรฐานการรักษาและบริการกับผู้ป่วย การวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ  ที่จะทำให้เกิดผลผลิตที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ เช่น ยา สมุนไพร เครื่องมือแพทย์ เป็นต้น งานวิจัยพื้นฐาน ที่ต่อยอดไปสู่การพัฒนาเรื่องอื่นๆ ต่อไป งานวิจัยเพื่อการพัฒนาการศึกษาและคุณภาพบุคลากรทางสุขภาพ  ที่งานวิจัยต้องทำให้เกิดการพัฒนาและบูรณาการการทำงานร่วมกัน  ซึ่งรวมถึงงานวิจัยกำลังคนเพื่อการพัฒนาคุณภาพ  หรือเพื่อการวางแผนกำลังคนสำหรับอนาคต รวมทั้ง การวิจัยทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน และวิจัยทางสาธารณสุขและสังคม  ทั้งหมดนับว่าเป็นการขยายบทบาทและขอบเขตงานให้ครอบคลุมการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ  ทั้งนี้เพื่อนำงานวิจัยสู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ  โดยปัจจุบัน ประเทศมีความต้องการความรู้จากงานวิจัยเหล่านี้ และยังไม่มีหน่วยงานที่ดูแลส่วนต่างๆ ที่มีการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบในภาพรวมได้ทั้งหมด”

“องค์กรที่เกิดขึ้นภายใต้ (ร่าง) พ.ร.บ.ฯ นี้ต้องยึดหลักการทำงาน ภายใต้แนวคิด “Public good”  หรือประโยชน์สาธารณะ  ที่ควรเป็นองค์กรของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ โดยมุ่งเน้นประสิทธิภาพหรือความคุ้มค่าของประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ ที่มีลักษณะพิเศษ หมายถึง  มีจุดเด่นด้าน “บริหารจัดการงานวิจัย” (Management) และเป็นองค์กรที่มี “วัฒนธรรมสนับสนุนการวิจัย” ที่จะเป็นผู้หนุน เชื่อมประสาน บูรณาการบุคคล กลุ่มบุคคล  ภาคส่วนต่างๆ ให้มาร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมพัฒนาโจทย์วิจัยสู่เป้าหมายใหญ่ของประเทศ โดยเชื่อมประสานทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งเป็นการพลิกไปจากระบบเดิมที่มีลักษณะต่างคนต่างทำ  โดยต้องมีระบบการตรวจสอบจากภายนอก  ซึ่ง พ.ร.บ.ฯ นี้กำหนดให้มีคณะกรรมการติดตามประเมินผลการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ ที่การวัดผลการดำเนินงานควรเน้นการวัดประโยชน์หรือคุณค่าของงานวิจัยที่เกิดขึ้นและส่งผลประจักษ์กับสังคม” ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าวเพิ่มเติม

ด้านนายไพศาล ลิ้มสถิตย์ ศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในประเด็นการจัดตั้งกองทุนหนึ่งในสำนักงานตาม (ร่าง) พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว ซึ่งเรียกว่า “กองทุนส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย” เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนและค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานของสำนักงานซึ่งจะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกำหนดนโยบายและบริหารจัดการทุนวิจัยสุขภาพของประเทศ เงินทุนประเดิมจากรัฐบาล 1 พันล้านบาท และในปีถัดไปให้จัดสรรอีกร้อยละ 1 โดยคำนวณจากวงเงินงบประมาณที่กระทรวงสาธารณสุขและกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้รับรวมกันนั้น  เป็นงบประมาณที่ไม่ได้ไปแตะกับงบประมาณของ สธ. และ สปสช. แต่เป็นงบส่วนกลางที่รัฐบาลอาจจะดึงมาจากส่วนที่ใช้ทำวิจัยโดยเฉพาะ หรืออาจโยกมาจากส่วนใดก็ได้ตามที่รัฐบาลเห็นเหมาะสม ซึ่งจะไม่ไปกระทบกับหน่วยงานใดเลย ทั้งนี้ในการจัดสรรเงินงบประมาณแต่ละปีก็อยู่ที่ดุลพินิจของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

“ส่วนตัวมองว่า งบประมาณที่ได้เสนอขอให้รัฐบาลจัดสรรตามร่างกฎหมายนี้ ถือว่าไม่มาก หากเปรียบเทียบกับหน่วยงานวิจัยของต่างประเทศ เช่น สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐ (National Institutes of Health-NIH) ที่ได้รับงบประมาณวิจัยทางด้านสุขภาพราวปีละ 30,000 ล้านดอลลาร์/ปี (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1 ล้านล้านบาท/ปี)  หรือสภาวิจัยทางการแพทย์ของอังกฤษ (Medical Research Council-MRC)  ได้รับงบประมาณในการทำวิจัยทางการแพทย์ในปีงบฯ 2013-2014 ราว 845 ล้านปอนด์/ปี (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 43,000 ล้านบาท/ปี) ขณะที่งบประมาณการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศไทยทุกภาคสาขารวมกัน จะอยู่ที่ประมาณ
0.2 - 0.3 % ของ GDP” อ.ไพศาล กล่าว

ทางด้าน นพ.ภูษิต ประคองสาย รักษาการผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า จากการทบทวนสถานการณ์ปี 2550 พบว่ายังไม่มีหน่วยงานใดมองเรื่องของระบบวิจัยสุขภาพอย่างครอบคลุมในทุกด้าน แม้แต่หน่วยงานอย่าง สวรส. เอง ก็ยังมองเรื่องของการวิจัยสุขภาพเฉพาะการวิจัยเชิงระบบ ดังนั้นจึงเกิดแนวคิดในการจัดตั้งกลไกดูแลการวิจัยสุขภาพที่ครอบคลุมทุกมิติ  โดยทำหน้าที่กำหนดนโยบายและจัดสรรทุนวิจัยสุขภาพ ที่ถือเป็นนโยบายหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุข โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่สนับสนุนให้มีการวิจัยสุขภาพอย่างครบวงจร โดยที่ผ่านมา คณะกรรมการพัฒนาระบบวิจัยสุขภาพที่มี ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช เป็นประธาน พร้อมคณะผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 23 ท่าน ได้ร่วมพัฒนา (ร่าง) พ.ร.บ.ฯ ภายใต้เป้าหมายการนำไปสู่การปฏิรูประบบวิจัยสุขภาพอย่างเป็นองค์รวม และ สวรส. ได้จัดให้มีการประชาพิจารณ์ (ร่าง) พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวและพัฒนาเพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สู่การพิจารณาของ ครม. ต่อไป

ทั้งนี้  การประชาพิจารณ์ (ร่าง) พ.ร.บ.ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ พ.ศ. .... เมื่อเดือนธันวาคม 2557 ที่ผ่านมานั้น มีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล เป็นต้น และต่างเห็นด้วยกับ (ร่าง) พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว