ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นสพ.มติชน : เภสัชกร 'อภัยภูเบศร' แนะรัฐสนับสนุนการวิจัยกัญชาให้ชัดเจน ชี้มีประโยชน์ทางการแพทย์ ใช้ในรูปแบบตำรับยามานาน จัดเป็นภูมิปัญญาไทย ลดอาการปวด

กรณีเวทีเสวนาวิชาการเปิดเสรีกัญชา โดยมีข้อเสนอจากสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) รวมทั้งศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่างมองว่า กัญชา จัดเป็นพืชที่มีประโยชน์ในแง่ทางการแพทย์ ลดอาการปวด น่าจะมีการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ มากกว่ามองว่าเป็นยาเสพติด ส่งผลให้เกิดความคิดเห็นที่หลากหลายนั้น

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้าโครงการสาธิตการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร โรงพยาบาล (รพ.) เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า กัญชาจัดเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย ประเทศไทยก็ใช้กันมานานในรูปแบบตำรับยา เพียงแต่เมื่อถูกกำหนดว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ ทำให้ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์อีก ซึ่งน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่การปลูกกัญชา ถือเป็นภูมิปัญญาไทย เช่น น้ำมันกัญชา หลายรัฐของสหรัฐอเมริกา มีการศึกษาว่าฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แม้ในไทยจะยังไม่มีงานวิจัย แต่รายงานหลายชิ้นบอกว่า มีประสิทธิภาพลดอาการปวด รวมทั้งอาการทางสมอง จิตประสาท อาการสั่นในผู้ป่วยพาร์กินสัน หากเปิดทางให้สามารถวิจัยกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ จะมีประโยชน์มาก

"ประโยชน์ต่างๆ หลายคนมองว่าต้องมีงานวิจัยมารองรับ แต่สิ่งสำคัญคือ หากไม่เปิดทางให้นักวิจัยมีอิสระในการศึกษา ผลการศึกษาจะออกมาไม่ได้ ดังนั้น หากเป็นไปได้แทนที่จะพึ่งพายารักษาโรคจากต่างประเทศอย่างเดียว เช่น การใช้มอร์ฟีน ต้องซื้อจากต่างประเทศ ควรหันมาพึ่งตัวเอง โดยควรมีกฎหมายในการเปิดโอกาสให้ปลูกกัญชา ซึ่งอาจทำเป็นฟาร์มกัญชาสำหรับทางการแพทย์ ในการศึกษาวิจัย โดยมีการควบคุมตรงนี้ และให้มีการวิจัยว่า ประโยชน์ทางการแพทย์มีอะไรบ้าง เพื่อเทียบเคียงกับต่างประเทศที่มีการศึกษาอยู่ ดีกว่าปล่อยทิ้ง ซึ่งน่าเสียดาย" ภญ.สุภาภรณ์กล่าว และว่า หากกัญชายังเป็นยาเสพติด นักวิจัยก็ศึกษาไม่ได้ ใบกระท่อมเช่นกัน มีการศึกษาในต่างประเทศว่าลดอาการปวดได้ดี หากมีการศึกษาวิจัยอย่างจริงจังก็จะทำให้ประเทศไทย ใช้ประโยชน์จากพวกนี้ได้เต็มประสิทธิภาพ

นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า พืชที่ถูกจัดเป็นยาเสพติดนั้นจะมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อย. ป.ป.ส.และกระทรวงมหาดไทย โดยอยู่ภายใต้การทำงานของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งมีคณะกรรมการยาเสพติดฯ ทำงาน และมีคณะอนุกรรมการต่างๆ ที่ผ่านมามีประเด็นเรื่องใบกระท่อม แต่ก็ยังไม่มีข้อเสนอใดๆ คืบหน้า ดังนั้น เรื่องกัญชาก็ยังไม่มีการพูดถึงในการประชุมยาเสพติด แต่ทั้งหมดก็ต้องอยู่ที่นโยบายเป็นหลัก แต่ขณะนี้ยังไม่มี

ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวถึงการเปิดให้ใช้กัญชาอย่างเสรีในไทยว่า ส่วนตัวเห็นว่ากัญชาถือเป็นยาเสพติดประเภท 5 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 เพราะฉะนั้นการปลูก การครอบครอง จำหน่ายหรือบริโภค จะต้องผิดกฎหมาย ดังนั้น ข้อเสนอที่จะให้เสรีทันทีคงจะยังไม่ได้ แต่ว่าควรที่จะมีการศึกษาเพิ่มเติม หากสามารถนำมาใช้ทางยาได้ และมีประโยชน์ที่ชัดเจนก็ควรจะอนุญาตให้มีงานวิจัยและทำให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงยา เพราะข้อมูลจากต่างประเทศพบว่ามีข้อมูลวิชาการที่สำคัญหลายอย่าง โดยเฉพาะช่วยรักษาโรคที่ค่อนข้างร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง ภูมิแพ้ เป็นต้น

"หากได้ประโยชน์จริงก็ไม่ควรที่จะปิดกั้นผู้ป่วย และควรจะอนุญาตให้เปิดศึกษาวิจัยและทดลองในคนไทยให้มีกฎระเบียบ และหากตีความก็ควรจะต้องมีการออกกฎ กติกาขึ้นมา รวมถึงให้หน่วยราชการได้รวบรวมข้อมูลอย่างชัดเจน จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ไม่ควรเก็บเรื่องนี้ไว้เฉยๆ แล้วทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสต่อการเข้าถึงการรักษา หากศึกษาแล้วว่าไม่ติดมากมาย หรือสามารถใช้ได้ภายในครัวเรือน ก็ควรมีข้อกำหนดกติกาที่ชัดเจน" ภญ.นิยดากล่าว

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 1 กันยายน 2558