ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ชมรมอดีตพนักงานของรัฐฯ สธ.วอนเร่งแก้ปัญหา “เยียวยาความเหลื่อมล้ำ คืนอายุราชการ กลุ่มอดีตพนักงานของรัฐ” หลัง 43 เดือนไม่คืบ รวมหนังสือขอความเป็นธรรมกว่า 20 ฉบับ เผยอยู่ระหว่างรอ รมว.สธ.นัดประชุมหารือ ก.พ. เผยสถานการณ์รุกลาม “ขรก.รุ่นน้องเงินเดือนมากกว่า ขรก.รุ่นพี่ ขรก.ระดับปฏิบัติการเงินเดือนมากกว่าระดับชำนาญการ”

นายมานพ ผสม ประธานชมรมอดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ปี 2543-2546 กล่าวว่า ที่ผ่านมาชมรมอดีตพนักงานของรัฐฯ ได้ประสานเพื่อขอเข้าพบ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับพนักงานของรัฐในทุกวิชาชีพ จำนวน 24,321 คน ทั้งในกรณีขอให้ทบทวนการเยียวยาเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และการแก้กฎหมายเพื่อนับระยะเวลาการเป็นพนักงานของรัฐเพื่อคำนวณบำเหน็จบำนาญ โดยได้รับแจ้งว่าอยู่ระหว่างการกำหนดวัน โดยจะมีการเชิญทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) มาพูดคุยกับทางกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ได้ข้อสรุป

ทั้งนี้ในกรณีขอให้ทบทวนการเยียวยาพนักงานของรัฐเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำนั้น จากที่ทางชมรมฯ ได้ยื่นเรื่องทั้งต่อกระทรวงสาธารณสุข ก.พ. และนายกรัฐมนตรีเพื่อขอความเป็นธรรม จนถึงขณะนี้เวลาล่วงเลยมาถึง 43 เดือนแล้ว รวมจำนวนหนังสือที่บุคคล กลุ่มบุคคล หน่วยงาน ได้พยายามออกมายื่นขอความเป็นธรรม ผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากกว่า 20 ฉบับ โดยความคืบหน้าล่าสุดเท่าที่รับทราบ คือ ก.พ.ได้ส่งหนังสือมายัง สธ.เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งพวกเราต่างรู้สึกว่าเป็นระยะเวลาที่นานเกินไป เป็นเหมือนการยื้อเวลาเท่านั้น ทั้งไม่ชัดเจนว่าจะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้เมื่อไหร่ และหากปล่อยปัญหานี้ให้ยิ่งนานวันไป ความเหลื่อมล้ำในระบบจะยิ่งขยายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ไม่เพียงแต่กระทบเพียงกลุ่มพนักงานของรัฐแล้ว แต่ยังกระทบไปยังกลุ่มข้าราชการรุ่นพี่ที่ทำงานมากก่อนแล้ว

“จากอัตราเงินเดือนของน้องๆ ที่ได้รับการเยียวยาเดือนละ 7,800 บาทก่อนหน้านี้ ส่งผลให้มีอัตราเงินเดือนมากกว่ารุ่นพี่ที่เป็นพนักงานของรัฐ และด้วยรอบการขึ้นเงินเดือนแต่ละครั้ง แม้ว่าน้องๆ จะมีจำนวนเปอร์เซ็นการปรับเงินเดือนที่ต่ำกว่า แต่ด้วยเงินเดือนที่มากกว่าทำให้เงินเดือนที่ปรับเพิ่ม มีจำนวนที่สูงกว่ารุ่นพี่ ยิ่งทำให้เงินเดือนทิ้งห่างออกไป จนกระทั่งทำให้อัตราเงินเดือนที่ได้รับเทียบเท่ากับรุ่นพี่ที่ทำงานมากว่า 20 ปีแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นวันนี้จึงไม่ได้จำกัดเพียงแค่พนักงานของรัฐ 2.4 หมื่นคนเท่านั้น ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว”

นายมานพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราได้พยายามสะท้อนปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดการเยียวยาโดยเร็ว แต่เท่าที่ทราบขณะนี้ปัญหาติดอยู่ที่ ก.พ. พิจารณา และจากการติดตามก่อนหน้านี้ ก.พ.ระบุว่าอยู่ระหว่างการเปลี่ยนอนุกรรมการ อ.กพ.ชุดใหม่ อยากให้ ก.พ.ช่วยเร่งแก้ปัญหาก่อนปัญหาจะยิ่งขยายออกไป ซึ่งต้องย้ำว่าวันนี้ “ข้าราชการรุ่นน้องเงินเดือนมากกว่าข้าราชการรุ่นพี่ ข้าราชการระดับปฏิบัติการเงินเดือนมากกว่าระดับชำนาญการ”แล้ว โดยสถานการณ์ในโรงพยาบาลขณะนี้ หัวหน้าพยาบาลเงินเดือนน้อยกว่าพยาบาลรุ่นน้อง ทั้งที่มีความรับผิดชอบมากกว่า แต่เงินเดือนกลับน้อยกว่า กลายเป็นการทำลายระบบความดีความชอบ กระทบต่อขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติงาน และความสามัคคี

ส่วนการแก้กฎหมายเพื่อนับระยะเวลาการเป็นพนักงานของรัฐเพื่อคำนวณบำเหน็จบำนาญ นายมานพ กล่าวว่า ยังไม่มีความคืบหน้าเช่นกัน หลังจากที่ได้เข้ายื่นหนังสือเพื่อขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรี โดยทางเจ้าหน้าที่ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแจ้งว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีได้รับทราบแล้วเท่านั้น ดังนั้นในวันที่เข้าพบ รมว.สาธารณสุขจะมีการติดตามในเรื่องนี้เช่นกัน

เรื่องนี้เป็นการสร้างความเป็นธรรมให้กับข้าราชการที่ถูกตัดการนับอายุราชการในช่วงเป็นพนักงานของรัฐ เนื่องจากในช่วงการสอบเข้านักเรียนพยาบาลมีสัญญาบรรจุ แต่หลังเรียนจบปี 2543 รัฐบาลมีนโยบายจำกัดจำนวนข้าราชการ ทำให้มีการปรับเป็นสัญญาทำงานในฐานะพนักงานของรัฐแทน โดยระบุว่ามีสิทธิเท่ากับข้าราชการ แต่กลับมีการตัดการนับอายุราชการออก ทั้งยังเป็นสัญญากึ่งบังคับ เพราะหากใครไม่เป็นพนักงานของรัฐต้องเสียค่าปรับถึง 180,000 บาท

“สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกเรารู้สึกว่า ทำไมการเป็นพนักงานของรัฐจึงถูกกระทำ และไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งที่เป็นกลไกหนึ่งที่ทำงานในระบบ ทั้งใน รพ.สต. โรงพยาบาล และวิทยาลัยพยาบาล ทั้งหลายคนยังเป็นผู้นำในการบริหารและปฏิบัติการ แต่กลับไม่ได้รับการดูแล นอกจากถูกตัดการนับอายุราชการในช่วงเป็นพนักงานของรัฐแล้ว เงินเดือนยังถูกรุ่นน้องแซงหน้ารุ่นพี่ ทำให้ต่างขาดขวัญกำลังใจ จึงขอฝากนายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข และผู้มีอำนาจตัดสินใจช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกเรา” ประธานชมรมอดีตพนักงานของรัฐฯ กล่าว