ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ร้อง ผบ.ตร.ขอความเป็นธรรม หลังตำรวจซิ่งกระบะชนรถพยาบาล เสียชีวิต 1 บาดเจ็บ 5 เจตนาไม่เป่าวัดแอลกอฮอล์ ไม่เจาะเลือด หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำกฏหมายสองมาตรฐาน ด้านตำรวจยืนยันทำความจริงให้ปรากฎ ไม่มีมวยล้มต้มคนดู

วันนี้ (24 ตุลาคม ) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายเจษฏา แย้มสบาย ประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ กรุงเทพฯ พร้อมด้วยเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคอีสาน และเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต กว่า 30 คน เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อขอความเป็นธรรม กรณีตำรวจก่อเหตุชนรถพยาบาลขณะกำลังนำส่งผู้ป่วยท้องแก่ เป็นเหตุให้พยาบาลที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เสีย ชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 5 ราย โดยผู้ก่อเหตุเจตนาไม่เป่าวัดแอลกอฮอล์ ไม่เจาะเลือด โดยมี พล.ต.ต.มนตรี ยิ้มแย้ม รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับหนังสือ

นายเจษฏา กล่าวว่า จากกรณีที่ ร.ต.อ.เดชา เปรียบสม รองสารวัตรป้องกันและปราบปราม สภ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ขับรถกระบะไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ข้ามเลนพุ่งชนรถพยาบาลของ รพ.ประโคนชัย บนถนนสายบุรีรัมย์-ประโคนชัย ต.บ้านไทร อ.ประโคนชัย ส่งผลให้ น.ส.สุดารัตน์ เชื่อมาก อายุ 25 ปี พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนเขาคอก ที่นั่งดูแลหญิงตั้งครรภ์ภายในรถเสียชีวิต, น.ส.จรวยพร ปาประโคน พยาบาลวิชาชีพ รพ.ประโคนชัย บาดเจ็บสาหัส ทั้งยังมีคนขับรถรีเฟอร์ หญิงตั้งครรภ์ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อ และญาติได้รับบาดเจ็บอีก 4 คน เหตุเกิดเมื่อกลางดึกวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ญาติ กลุ่มเพื่อน และเครือข่ายฯกังวลใจเนื่องจากผู้ก่อเหตุไม่ยอมตรวจวัดแอลกอฮอล์ในวันเกิดเหตุ จะทำให้มีผลต่อหลักฐานที่จะต่อสู้ในคดีหรือไม่ อีกทั้งเครือข่ายฯเกรงว่าตำรวจอาจช่วยเหลือกันเอง ทำให้ญาติผู้เสียหายไม่ได้รับความเป็นธรรม

“ผมเข้าใจหัวอกของญาติผู้สูญเสีย เนื่องจากตัวผมเองก็เป็นผู้ที่เคยถูกคนเมาขับรถชน ทำให้ต้องนั่งวีลแชร์ไปตลอดชีวิต ดังนั้นคดีที่สังคมจับตามองนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องตอบข้อข้องใจแก่ประชาชนถึงกรณีที่ผู้ก่อเหตุไม่ยอมเป่าเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ และไม่เจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในวันเกิดเหตุ ทั้งที่ในทางกฎหมายผู้ใดไม่ยอมเป่าวัดแอลกอฮอล์ให้ถือว่าเมาแล้วขับ โดยผู้ก่อเหตุไม่ยอมรับข้อกล่าวหา ทั้งที่มีพยานยืนยันว่าในวันก่อเหตุว่าเมาจริง ซ้ำยังเป็นรถที่ไม่ติดป้ายทะเบียนอีกด้วย ซึ่งเครือข่ายฯหวังว่าคดีนี้จะตรงไปตรงมา เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บด้วย” นายเจษฏา กล่าว

ด้าน นางสาวเครือมาศ ศรจันทร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้น เครือข่ายฯและผู้เสียหาย ขอเรียกร้องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำไปพิจารณา ดังนี้

1.กรณีที่เกิดขึ้นถือว่าผู้กระทำผิดเป็นผู้รักษากฎหมาย แต่กระทำผิดเสียเอง ส่งผลต่อวิกฤตศรัทธาองค์กรตำรวจ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ประชาชนในการหาข้ออ้างเพื่อกระทำผิด ตำรวจควรดำเนินคดีทั้งทางกฎหมายอาญาและทางวินัยให้ถึงที่สุด เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว

2.ให้ถือว่าการดื่มสุราในการขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนนเป็นเจตนากระทำผิดกฎหมาย(จากเดิมเป็นการกระทำโดยประมาท) เพื่อให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ เกิดความยำเกรง หวาดกลัวและขอให้ ตำรวจร่วมผลักดันเป็นนโยบายต่อรัฐบาล

3.กรณีบุคคลใดดื่มสุราขณะขับขี่ยานพาหนะ ฝ่าฝืนกฎหมายที่กำหนดจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ให้ตำรวจออกนโยบายผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับประสานงานกรมขนส่งทางบกเพื่อเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

และ 4.ขอให้ออกหนังสือคำสั่งในการปฏิบัติหน้าที่กับผู้ใต้บังคับบัญชา ให้กวดขันการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อแก้ปัญหาจราจร เพื่อลดอัตราการสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน

ขณะที่ พล.ต.ต.มนตรี กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ทางตำรวจจะไม่เพิกเฉยต่อเรื่องนี้เด็ดขาด สิ่งแรกเลยคือต้องทำความจริงให้ปรากฎ ใครผิดต้องว่าไปตามผิด หากสืบทราบว่า ร.ต.อ.เดชา และร้อยเวรที่ดำคดีในวันดังกล่าวกระทำไม่ถูกต้อง มีการทำผิดทั้งวินัยและอาญา จะดำเนินการตามกฎหมายทันที และจะไม่มีการช่วยเหลืออะไรทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ สั่งกำชับและเห็นความสำคัญ จึงมอบหมายให้ตนดูแล โดยภายในสัปดาห์นี้ ตำรวจภูธรภาค 3 จะรายงานมา และตนจะตรวจความเรียบร้อย หากพบความบกพร่อง มีสิ่งผิดปกติ ในส่วนของสำนวน ตนเองจะลงไปตรวจสอบในพพื้นที่ด้วย ดังนั้นขอให้ความมั่นใจกับเครือข่ายฯว่าเรื่องนี้ไม่มีมวยล้มต้มคนดูอย่างแน่นอน

เรื่องที่เกี่ยวข้อง