ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เครือข่ายสุขภาพยื่นนายกรัฐมนตรียุติการแก้ไข พ.ร.บ.สสส.ชี้ไม่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ถอยหลังเข้าคลองกลับไปอยู่ภายใต้ระบบราชการ ขัดหลักเจตนารมณ์สร้างนำซ่อม ตัดตอนความเข้มแข็งของภาค ปชช. ชงเร่งคลอด พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาภาคประชาสังคม พิสูจน์ความจริงใจ

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (ขสช.) นำ ตัวแทนภาคประชาชนที่ทำงานด้านสุขภาพ คนพิการ เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มเกษตรความมั่นคงทางอาหาร จากทั่วทุกภาค กว่า 150 คน ยื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านทาง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 หรือ พ.ร.บ.สสส. ทั้งนี้ เครือข่ายฯ ได้ร่วมกันแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ด้วยการฉีกข้อความ “ร่างแก้ไข พ.ร.บ.สสส.” เพื่อแสดงการไม่ยอมรับร่างกฎหมายฉบับนี้

นายคำรณ กล่าวว่า พวกเราในนาม ขสช.มีจุดยืนร่วมกันในการสนับสนุนกลไกการปฏิรูประบบสุขภาพของคนไทย สนับสนุนภาครัฐในการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน ตามหลักการสร้างนำซ่อม ทั้งนี้เครือข่ายฯได้ติดตามความพยายามแก้ไข พ.ร.บ.สสส.มาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่ามีสาระสำคัญในการแก้กฎหมายที่ไม่เป็นไปตามดำริของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้เกิดความยั่งยืน แต่กลับเป็นการแก้ไขที่ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ในการก่อเกิด สสส.อย่างสิ้นเชิง ส่งผลร้ายต่อการทำงานสร้างเสริมสุขภาพของประเทศ ซึ่งมีภาคประชาชนลุกขึ้นมาเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุน ช่วยงานภาครัฐ ปิดช่องว่างที่หน่วยงานของรัฐเข้าไม่ถึงประชาชน

นายคำรณ ระบุว่า ปัจจุบัน สสส.ได้ปรับปรุงแก้ไขระเบียบการดำเนินงานต่างๆของกองทุนไปแล้วถึง19 ฉบับ ตามข้อห่วงใยของหน่วยงานต่างๆ การดำเนินงานเรื่องภาษี ที่มีปัญหาก็ได้ข้อยุติจากกรมสรรพากรแล้ว อันเป็นผลจากการดำเนินงานแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังของพลเอกฉัตรชัย สาลิกัลยะ ประธานกรรมการกองทุน สสส.คนปัจจุบันจน มีข้อสรุปร่วมกันระหว่างสามหน่วยงานคือ กรมสรรพากร สำนักการตรวจเงินแผ่นดิน และ สสส.ในขณะเดียวสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้ประเมินองค์กรของรัฐในเรื่องความโปร่งใสพบว่า สสส. เป็นหนึ่งในองค์กรมีผลคะแนนสูงมาก ถึง 81.41 คะแนน และได้รับประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติจากนายกรัฐมนตรี ประกอบกับข้อยืนยันจากองค์การอนามัยโลกที่ยกให้ สสส.เป็นหนึ่งในมาตรการที่คุ้มค่าและมีประสิทธิผลสูงในกระบวนการทางสุขภาพ

ทั้งนี้เครือข่ายฯ ขอแสดงจุดยืนและมีข้อเสนอต่อรัฐบาล ดังต่อไปนี้

1.ขอให้ยุติการการแก้ไข พ.ร.บ.สสส. เพราะขาดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิงที่จะเดินหน้าต่อไป และยังมีหลายจุดที่ขัดแย้งกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ทั้งในด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ด้านการพัฒนาและการเสริมสร้างศักยภาพคน การสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม การสร้างความเข้มแข็งของสถาบันทางสังคมและทุนทางวัฒนธรรมและความเข้มแข็งของ ชุมชน ซึ่งทุกมิติดังกล่าวในการแก้ไขกฎหมายต้องทำให้ก้าวหน้าขึ้น มิใช่ถอยหลัง กลับไปสู่ความล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพตามวัตถุประสงค์ของกองทุน สสส.สวนทางกับองค์การอนามัยโลกที่ให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาพมากกว่าการซ่อมหรือรักษา และยังย่องไทย ให้ สสส. เป็นแบบอย่างการสร้างเสริมสุขภาพของโลก ที่สำคัญคือไม่ตอบโจทย์ความยั่งยืนตามดำริของนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด และหากพบว่ายังมีความพยายามที่จะเดินหน้าในเรื่องนี้อีก เครือข่ายยืนยันจะต่อสู้คัดค้านให้ถึงที่สุด

2.เครือข่ายขอสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าในมาตรการสำคัญๆอื่น ซึ่งตรงตามนโยบายรัฐบาล ที่จะเป็นประโยชน์ในการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนมากกว่า อาทิ การผลักดันร่าง พรบ.ส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ร่าง พ.ร.บ.เกษตรกรรมยั่งยืน กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสภาองค์กรผู้บริโภค รวมถึงการจัดเก็บภาษีจากสินค้าที่ทำลายสุขภาพอื่นนอกจากภาษีเหล้า บุหรี่ เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง ชาเขียว สารเคมี เพื่อการปฏิรูประบบสุขภาพของคนไทย

3.เครือข่ายขอขอบคุณ พลเอกฉัตรชัย สาลิกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ที่ช่วยเร่งแก้ไขปัญหาเรื่องภาษีไม่เป็นธรรม อันส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับภาคประชาสังคมที่ทำงานสร้างเสริมสุขภาพก่อนหน้านี้ จนได้ข้อยุติจากทุกฝ่าย

ขณะที่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ขอขอบคุณเครือข่ายทุกคนและต้องเรียนว่าที่พวกเรามาอยู่ตรงนี้ เจตนารมณ์ของเราทุกคนเหมือนกันในความปราถนาดีต่อบ้านเมือง การแก้ พ.ร.บ.สสส จะแก้หรือปรับปรุงต้องมีสาระสำคัญและมีเหตุผล เชื่อว่าการรับฟังความคิดเห็นของทุกคนล้วนมีความสำคัญ ท้ายสุดจะแก้ประเด็นไหนหรือจะไม่แก้ ต้องเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชน จะเพื่อคนใดคนหนึ่งนั้นไม่มีแน่นอน

“ซึ่งในวันนี้ผมคิดว่าทุกคนมาด้วยความปรารถนาดีและดีใจ ที่เห็นการแสดงออกของทุกคนมาในรูปแบบที่ถูกต้อง มาด้วยความตั้งใจที่ดี เท่าที่ผมทราบมาเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาวนาน ผมจะนำเรียนถึงท่านนายกรัฐมนตรี ให้ทราบทุกประเด็น และทุกเรื่องที่อยู่ในจดหมาย กระบวนการที่จะเกิดการแก้ไขหรือไม่นั้น ทุกอย่างต้องฟังอยู่บนเหตุผลของพี่น้องประชาชน อย่างน้อยก็ได้รับฟัง รวบรวมเป็นส่วนในการตัดสินใจ” นายพุทธิพงษ์ กล่าว