ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สุดเศร้า หญิงไร้บ้าน จ.ขอนแก่น เสียชีวิต หลังผลตรวจดีเอ็นเอชี้ชัด “เป็นคนไทย” ไม่ทันทำบัตรประชาชน เผยเป็น “คนไทยไร้สิทธิ” ชั่วชีวิต พ่อแม่ไม่แจ้งเกิด ยากจนไม่มีเงินจ่ายค่าตรวจดีเอ็นเอยืนยัน ซ้ำเจ็บป่วยเรื้อรังเป็นวัณโรค เข้าถึงไม่ถึงการรักษาต่อเนื่อง มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยระบุ สะท้อน “กลุ่มคนไทยไร้สิทธิ์” ยังเป็นปัญหาอยู่ แนะภาครัฐเร่งดูแลคนไทยด้วยกัน

น.ส.วรรณา แก้วชาติ

น.ส.วรรณา แก้วชาติ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานชุมชน มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.) เปิดเผยว่า เมื่อปลายเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งจากเครือข่ายคนไร้บ้าน จ.ขอนแก่น ว่ามี “คนไทยไร้สิทธิ” ได้เสียชีวิตลงเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ภายหลังจากที่เพิ่งได้รับผลการตรวจดีเอ็นเอเมื่อกุมภาพันธ์ 2562 ยืนยันว่าเป็นคนไทยจริง และอยู่ระหว่างการเตรียมยื่นหลักฐานเพื่อทำบัตรประชาชน ชื่อ น.ส.วรรณกุล​ ไสยเขต​ อายุ​ 61​ ปี​ ที่อยู่​ บ.หนองกุง​ ม.2​ ต.ศิลา​ อ.เมือง​ จ.ขอนเเก่น มีอาชีพรับจ้างทั่วไปและเก็บของเก่าขาย ทั้งนี้ น.ส.วรรณกุล ได้พยายามทำเรื่องเพื่อยื่นขอทำบัตรประชาชนหลายครั้ง แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากติดขั้นตอนที่ต้องให้มีการตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันซึ่งมีค่าใช้จ่ายถึง 8,000 บาท สำหรับกลุ่มคนเหล่านี้ที่เป็นคนยากไร้ ฐานะยากจน ถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก เพราะเพียงแค่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ไม่เพียงพอแล้ว

ทั้งนี้ มพศ.ได้ทำงานประสานร่วมกับเครือข่ายคนไร้บ้านจังหวัดขอนแก่นมานานแล้ว ในการร่วมพัฒนาศูนย์ฟื้นฟู และพัฒนาศักยภาพคนไร้บ้าน จ.ขอนแก่น ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2561 ได้มีการสำรวจจำนวนคนไทยไร้สิทธิเพื่อคืนสิทธิความเป็นคนไทยให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ โดย น.ส.วรรณกุล ได้อยู่ในรายชื่อกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งทางเครือข่ายคนไร้บ้านที่ลงทำงานในพื้นที่ต่อเนื่อง รู้จัก น.ส.วรรณากุล และทราบมานานแล้วว่าไม่มีบัตรประชาชน แต่ยังไม่มีช่องทางในการช่วยเหลือ จนกระทั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงมาขับเคลื่อนเรื่องนี้ ทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น มีกระบวนการช่วยเหลือการพิสูจน์สถานะให้กับคนไทยที่ไม่มีบัตรประชาชน รวมถึงมีช่องทางการตรวจดีเอ็นเอโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้ น.ส.วรรณกุลได้รับการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอในที่สุด

สำหรับกรณีของ น.ส.วรรณกุล ทำได้ไม่ยากเพราะด้วยอาศัยอยู่ในพื้นที่มานาน จึงยังมีญาติที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น เป็นพี่น้องร่วมพ่อแม่เดียวกันมายืนยันสถานะและเจาะเลือดเพื่อพิสูจน์ดีเอ็นเอเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ แต่กว่าที่ น.ส.วรรณกุลจะสามารถพิสูจน์ความเป็นคนไทยได้ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต จนถึงวันนี้แม้ว่าผลดีเอ็นเอได้ยืนยันความเป็นคนไทยแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับบัตรประชาชนเพราะอยู่ระหว่างดำเนินการและเสียชีวิตลงก่อน ซึ่งที่ผ่านมา น.ส.วรรณกุลมีภาวะเจ็บป่วยที่ต้องรับการรักษาต่อเนื่อง แต่เข้าไม่ถึงบริการสุขภาพเพราะไม่มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) รองรับเหมือนคนอื่น ทำให้ต้องจ่ายเงินเองหรือขอความอนุเคราะห์จากโรงพยาบาลบ้าง

“เวลาเจ็บป่วยป้าวรรณกุลต้องจ่ายเงินเองมาตลอด และด้วยที่ป่วยเป็นวัณโรคทำให้ต้องกินยาต่อเนื่อง ค่ารักษาค่ายาอยู่ที่ 600-1,000 บาทต่อเดือน อาชีพรับจ้างและเก็บของเก่าขายแค่ลำพังค่ากินค่าอยู่ก็ไม่พอแล้ว เมื่อเจ็บป่วยงานก็ทำได้น้อยลงและต้องมาจ่ายค่ารักษาเองอีก ทำให้มีความเสี่ยงมากในชีวิต ป้าวรรณกุลฝันมาตลอดว่าจะได้มีบัตรประชาชน มีสิทธิบัตรทอง เวลาเจ็บป่วยไปหาหมอจะได้ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ก็มาเสียชีวิตลงหลังผลตรวจดีเอ็นเอเพียง 2 เดือน” เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานชุมชน มพศ. กล่าวและว่า จากการทำงานมีหลายกรณีที่เป็นแบบนี้ อย่างกรณีของยายไอ๊ วาเส็ง คนไทยไร้สิทธิในเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร ที่กว่าจะพิสูจน์และได้รับสิทธิความเป็นคนไทยก็อายุ 65 ปีแล้ว จนได้รับบัตรประชาชนในปี 2560 แต่ก็มาเสียชีวิตลงไม่กี่เดือนถัดมา

น.ส.วรรณา กล่าวว่า กรณีของ น.ส.วรรณกุล เป็นกรณีหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ในประเทศยังมีกลุ่มคนไทยที่เกิดในประเทศไทย เป็นคนไทยตั้งแต่กำเนิด แต่ยังไร้สิทธิความเป็นคนไทย ไม่มีเลข 13 หลัก ไม่มีบัตรประชาชนอยู่ โดยเกิดจากสาเหตุที่ต่างกันไป ทั้งกรณีไม่ได้รับการแจ้งเกิดเช่นเดียวกับกรณีของ น.ส.วรรณกุล และย้ายไอ๊ ทำให้ไม่สามารถทำบัตรประชาชนได้ เพราะในอดีตมองไม่เห็นความสำคัญของการมีบัตรประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีสิทธิสวัสดิการภาครัฐมากมายที่ต้องใช้บัตรประชาชน กรณีหนีออกจากบ้านแล้วบัตรประชาชนหาย และไม่ได้ต่ออายุบัตรประชาชน เป็นต้น ขณะที่กระบวนการพิสูจน์สถานะ แม้ว่าจะมีระเบียบหลักเกณฑ์กำหนดอยู่ แต่ความยากง่ายก็ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ทะเบียนในอำเภอและเทศบาลแต่ละแห่ง ซึ่งบางคนกังวลการรับรองจึงต้องการหลักฐานเอกสารการตรวจดีเอ็นเอที่เป็นผลพิสูจน์ยืนยัน ซึ่งคนที่ไม่มีเงินก็ต้องรอไปก่อน ทำให้บางคนใช้เวลานับสิบปีอย่างกรณีที่เกิดขึ้นนี้ ดังนั้นภาครัฐควรเร่งดูแลคนกลุ่มนี้ในฐานะคนไทยด้วยกัน

น.ส.วรรณา กล่าวต่อว่า ส่วนข้อมูลการสำรวจคนไทยไร้สิทธิที่ มพศ.ได้ดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่ายเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 นั้น สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวน 700 คนทั่วประเทศ ในจำนวนนี้คัดกรองข้อมูลเฉพาะที่เป็นคนไทยจริงๆ ประมาณ 600 คน ตัดในกลุ่มที่เป็นคนต่างด้าวออก ในจำนวนนี้ได้ผ่านการวิเคราะห์ทางกฎหมายแล้วกว่า 300 คน อยู่ระหว่างทำการวิเคราะห์อีกกว่า 200 คน เบื้องต้นได้ประสานกับเครือข่ายและหน่วยงานในพื้นที่ในการช่วยเหลือแล้วประมาณ 110 ราย โดยมีผู้ที่ได้บัตรประชาชนคืนสิทธิคนไทยแล้ว 15 คน แต่เมื่อย้อนหลังในช่วง 2 ปี ที่มูลนิธิได้ทำงานนี้รวมทุกพื้นที่สามารถผลักดันให้คนไทยไร้สิทธิได้รับบัตรประชาชนแล้วประมาณ 70 คน อย่างไรก็ตามจำนวนคนไทยไร้สิทธิเชื่อว่ายังมีอยู่มาก จึงอยากให้ภาครัฐเปิดลงทะเบียนกับคนกลุ่มนี้

ส่วนการจัดตั้งกองทุนรักษาพยาบาลคนไทยไร้สิทธินั้น ขณะนี้มีความพยายามผลักดันเพื่อให้คนเหล่านี้เข้าถึงการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่จำเป็นในช่วงที่รอการพิสูจน์สิทธิ ทั้งในส่วนกระทวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ และ สปสช. โดยให้มีงบประมาณรองรับเบิกจ่ายค่ารักษาที่ชัดเจน เนื่องจากปัจจุบันทั้งในส่วนของ พม. และโรงพยาบาลต้องแบกรับภาระค่ารักษาปีละนับสิบล้านบาท คนเหล่านี้เป็นคนไทยควรได้รับสิทธิ เพราะแม้แต่กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกกฎหมายยังมีระบบรองรับที่ให้สามารถซื้อประกันสุขภาพได้

“จากการดำเนินงานเพื่อคืนสิทธิให้กับคนไทยไร้สิทธิในช่วง 2 ปี มองว่าเรื่องนี้ถูกขยับไปค่อนข้างมาก แม้ว่าจะยังไม่สามารถจัดตั้งกองทุนรักษาพยาบาลคนไทยไร้สิทธิได้ แต่มีหลายหน่วยงานเข้ามาร่วมขับเคลื่อน ขณะที่สังคมเริ่มมองเห็นปัญหาและมีความเข้าใจคนเหล่านี้มากขึ้น ดีกว่าในอดีตค่อนข้างมาก สิ่งที่ทำมาไม่ได้สูญเปล่า” เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานชุมชน มพศ. กล่าว