ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ประธานอนุกรรมการควบคุมคุณภาพบริการสาธารณสุขเขต 7 ขอนแก่น แนะ 6 มาตรการลดอุบัติการณ์การมีสิ่งแปลกปลอมตกค้างในร่างกายผู้ป่วยหลังทำหัตถการ  พร้อมเผยสิ่งของที่ตกค้างหลังการผ่าตัดที่พบมากที่สุดตามลำดับ คือ 1) ผ้าก๊อซซับเลือด 2) เข็มเย็บผ่าตัด และ 3) เครื่องมือผ่าตัด

รศ.นพ.วัชรพงศ์ พุทธิสวัสดิ์

รศ.นพ.วัชรพงศ์ พุทธิสวัสดิ์ ประธานอนุกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ระดับเขตพื้นที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 7 ขอนแก่น บรรยายพิเศษ เรื่องการลดอุบัติการณ์การมีสิ่งแปลกปลอมตกค้างในร่างกายผู้ป่วยหลังทำหัตถการ ในการประชุมติดตามกำกับผลการดำเนินงานด้านคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข และชี้แจงแนวทางการป้องกันการเกิดซ้ำด้านคุณภาพบริการของหน่วยบริการในพื้นที่ สปสช.เขต 7 ขอนแก่น เมื่อวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562 ณ โรงแรมเจริญธานีขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ว่า ปัญหาการตกค้างของสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัด ยังคงเป็นปัญหาที่ไม่มีวิธีแก้ไขที่สมบูรณ์ เป็นปัญหาความผิดพลาดทางการแพทย์ที่สำคัญ โดยมีอัตราการเกิดระหว่าง 0.3 ถึง 1.0 ต่อการผ่าตัดช่องท้อง 1,000 ครั้ง ปัญหาการตกค้างของสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัดเป็นปัญหาที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นจะเป็นข้อผิดพลาดที่ไม่สามารถแก้ตัวทางกฎหมายได้เลย

รศ.นพ.วัชรพงศ์ กล่าวว่า ปัญหานี้อาจทำให้เกิดการทำหัตถการซ้ำถึง 70% การเจ็บป่วยของคนไข้ถึง 80% และการเสียชีวิตของคนไข้ถึง 35% นอกเหนือไปจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทางการแพทย์และปัญหาการฟ้องร้องทางกฎหมายที่มีแนวโน้มจะมากขึ้น ทั้งนี้สิ่งของที่ตกค้างหลังการผ่าตัดที่พบมากที่สุดตามลำดับ คือ 1) ผ้าก๊อซซับเลือด 2) เข็มเย็บผ่าตัด และ 3) เครื่องมือผ่าตัด ส่วนการผ่าตัดที่มีปัญหาการตกค้างของสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัดที่พบได้บ่อย 3 อันดับแรก คือ 1) การผ่าตัดทางช่องท้อง (52%) 2) การผ่าตัดทางนรีเวช (22%) และ 3) การผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะและหลอดเลือด (10%) โดยการผ่าตัดช่องท้องที่มีปัญหาการตกค้างของสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัดที่พบบ่อยที่สุด คือ การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง และการผ่าตัดมดลูกผ่านทางหน้าท้อง

“ปัญหาการตกค้างของสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ บางรายอาจจะเสียชีวิต และยังส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง และความเป็นมืออาชีพของแพทย์ ทั้งยังสร้างความเสียหายของชื่อเสียงของโรงพยาบาลและระบบสุขภาพ และอาจจะมีผลกระทบร้ายแรงจากการถูกฟ้องร้องทางกฎหมาย ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในในห้องผ่าตัดจะต้องมีมาตรฐานป้องกันปัญหานี้อย่างเคร่งครัด” รศ.นพ.วัชรพงศ์ กล่าว

รศ.นพ.วัชรพงศ์ กล่าวว่า อาการแสดงทางคลินิกของการตกค้างของสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัดนั้น มีทั้งไม่มีอาการ แต่จะพบได้จากการตรวจพบโดยบังเอิญ ส่วนกรณีที่มีอาการนั้น อาการที่พบในระยะเริ่มแรก จะมีอาการปวดท้อง, การติดเชื้อในกระแสโลหิต, ฝีในช่องท้อง ส่วนอาการที่พบได้ภายหลังจากมีสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัดเป็นเวลานาน คือ แผลที่ไม่หาย, มีเนื้องอกเทียม, ลำไส้อุดตัน ซึ่งเมื่อตรวจพบผู้ป่วยอาจจะต้องถูกผ่าตัดซ้ำ หรือต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลบ่อยเพื่อรักษาภาวะแทรกซ้อนจากปัญหาสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัด

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดปัญหาสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัดมีหลายสาเหตุ เช่น การผ่าตัดฉุกเฉิน, ผู้ป่วย อ้วน, การผ่าตัดที่มีการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนที่ไม่คาดคิด, การผ่าตัดที่ใช้ชุดแพทย์ผ่าตัดหลายชุด, การผ่าตัดที่มีการเสียเลือดจำนวนมาก ต้องให้เลือดระว่างการผ่าตัด, มีความผิดพลาดในการนับผ้าก๊อซซับเลือด เข็มเย็บผ่าตัดและเครื่องมือผ่าตัด, การผ่าตัดที่ทำหลัง 17.00 น.

มาตราการป้องกันการเกิดปัญหาสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัด จึงต้องมีการดำเนินการ ดังนี้

1) การตรวจนับผ้าก๊อซซับเลือด เข็มเย็บผ่าตัด และเครื่องมือผ่าตัด เป็นกลยุทธ์สำคัญในการป้องกันการเกิดปัญหาสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัด ซึ่งการศึกษาส่วนใหญ่จะสนับสนุนการพัฒนาคู่มือแนวทางการปฏิบัติในแต่ละโรงพยาบาล โดยใช้การตรวจนับผ้าก๊อซซับเลือด เข็มเย็บผ่าตัด และเครื่องมือผ่าตัด ก่อน ระหว่าง และหลังการผ่าตัด เช่นเดียวกับการตรวจนับหลายครั้ง

2) ในระหว่างการผ่าตัด คู่มือแนวทางการปฏิบัติเหล่านี้ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่จะทำให้เวลาการทำงานมากขึ้นถึง 14% ของเวลาทำงานปกติ

3) การตรวจสอบอย่างละเอียดโดยศัลยแพทย์ในบริเวณที่ทำผ่าตัด ก่อนที่จะปิดแผลผ่าตัดรวมทั้งการบันทึกขั้นตอนการผ่าตัดอย่างละเอียดรวมทั้งจำนวนสายท่อระบายและจำนวนผ้าก๊อซซับเลือดที่อาจใช้ห้ามเลือดหลังผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น (เพื่อให้ศัลยแพทย์เมื่อเข้าไปเอาผ้าก๊อซซับเลือดรู้ว่ามีผ้าก๊อซซับเลือดที่ต้องเอาออกกี่ผืน)

4) ความแตกต่างของการตรวจนับควรทำให้เกิดการแจ้งเตือนอย่างอัตโนมัติถึงโอกาสการเกิดปัญหาสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัด เมื่อมีความแตกต่างในการตรวจนับต้องตรวจนับซ้ำ และศัลยแพทย์ต้องตรวจตราดูบริเวณที่ทำผ่าตัดใหม่ทั้งหมด

5) แต่หากความแตกต่างยังคงอยู่ควรทำการถ่ายภาพรังสีที่เหมาะสม (การถ่ายภาพรังสี/เอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์) เพื่อค้นหาสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัดที่ตกค้างอยู่

6) การสื่อสารที่ดีระว่างทีมแพทย์ผ่าตัดและทีมพยาบาลห้องผ่าตัด เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปัญหาการตกค้างของสิ่งแปลกปลอมหลังการผ่าตัด