ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ.เผยผลตรวจแท็กซี่ 2 ราย ออกแล้ว จับตาผลสรุปบ่ายนี้ ก่อนประกาศติดเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายในประเทศหรือไม่ แนะ ประชาชนตื่นตัวสวมหน้ากากอนามัย เผย คนไข้ติดเชื้อรักษาหายอีก 1 ราย ออกจาก รพ.แล้ว พร้อมประชุม คกก. “อนุทิน” ร่วมประชุมอำนวยการเสริมมาตรการสอดคล้ององค์การอนามัยโลก ประกาศภาวะฉุกเฉิน ฟอร์มทีม สธ. รับ นศ.ไทยจากอู่ฮั่น ต้องคล่องตัว มีประสิทธิภาพวิเคราะห์ ป้องกันโรค ย้ำกลับแล้วต้องเข้าระบบควบคุมโรคทุกคน

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 เวลา 10.00 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ในฐานะผู้บัญชาการของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน แถลงข่าวสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า ข้อมูลช่วงเช้าวันนี้ (31 ม.ค.) ยืนยันผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ฯ คงที่ 14 ราย ล่าสุดหายและกลับบ้านได้เพิ่มอีก 1 ราย รวมเป็น 7 ราย เหลือยังรักษาในห้องแยกโรค ทั้งหมดอาการดีขึ้น รอให้ปลอดเชื้อจึงจะอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ ส่วนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคสะสมตั้งแต่วันที่ 3-30 ม.ค.รวม 280 คน กลับบ้านแล้ว 68 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดตามฤดูกาล เหลือเฝ้าดูอาการในโรงพยาบาล 212 ราย ส่วนผลการตรวจวิเคราะห์แล็บแท็กซี่ไทย 2 ราย ที่มีประวัติรับนักท่องเที่ยวจีน ขณะนี้ผลออกแล้วจะเข้าคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเพื่อพิจารณาว่าเป็นการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ฯ หรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า หากผลการประชุมกรณีแท็กซี่ 2 ราย ออกมาว่าเป็นการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แสดงว่าประเทศไทยมีการติดเชื้อจากคนสู่คนภายในประเทศอย่างเป็นทางการหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า ที่จริงแล้วการติดเชื้อภายในประเทศนั้นเกิดขึ้นได้ และขณะนี้มีประเทศที่รายงานพบการติดเชื้อภายในประเทศ อาทิ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เยอรมัน เวียดนามและสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้ขยายวงกว้าง และจากประวัติติดกันในครอบครัวที่อยู่กันอย่างหนาแน่น อยู่ด้วยกันต่อเนื่องหลายชั่วโมง คล้ายกับผู้ป่วย 2-3 รายแรกของไทยที่มาจากอู่ฮั่น เราเก็บข้อมูลผู้ใกล้ชิด 20-30 คน ก็ไม่พบการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นข้อมูลน่าสนใจในการควบคุมป้องกันโรค

นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามขณะนี้องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศแล้ว ทำให้ทุกประเทศต้องยกระดับมาตรการควบคุมป้องกันโรคอย่างเข้มข้น ซึ่งประเทศไทยทำอย่างเข้มข้นแล้ว แต่จะเพิ่มการควบคุมป้องกันโรคในโรงพยาบาลและชุมชน และในช่วงบ่ายวันนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน เพื่อวางมาตรการให้สอดคล้องกับที่องค์การอนามัยโลกประกาศภาวะฉุกเฉินฯ

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 30 ม.ค. ได้มีการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ก่อนที่องค์การอนามัยโลกจะออกประกาศภาวะฉุกเฉินฯ ซึ่งมีการพิจารณาถึงการประกาศให้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ให้เป็นโรคอันตรายโรคที่14 ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อแห่งชาติ 2558 ที่ให้อำนาจเจ้าพนักงานใช้อำนาจตามกฎหมายควบคุมโรคได้อย่างเด็ดขาดได้ แต่เรื่องนี้ต้องหารือย่างรอบคอบ คงไม่ถึงขั้นต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเด็ดขาดอะไร เพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวจากพื้นที่การระบาดหายไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนตื่นตัวในการสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคด้วย โดยคนที่ไม่ป่วยให้สวมหน้ากากผ้า คนป่วยให้สวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ส่วน N95 เป็นหน้ากากสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องสัมผัสเชื้อโรคจำนวนมาก

ด้าน นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับการประสานอย่างไม่เป็นทางการในการจัดตั้งทีมรับนักศึกษาไทยในเมืองอู่ฮั่นกลับประเทศไทย ประมาณ 64 คน เบื้องต้นจะมีการเตรียมทีมที่เพียงพอในการดูแลเหมาะสมกับจำนวนนักศึกษา เบื้องต้นทีมจะต้องมีความคล่องตัว สามารถตรวจ คัดกรองโรค และการดูแลตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยทั้งหมดเมื่อกลับเข้ามาภายในประเทศแล้วจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังสอบสวนโรค

นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับกระแสข่าวที่ว่าคนจีนที่ไทยรักษาหายกลับประเทศไปแล้วเกิดการติดเชื้อซ้ำนั้น ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ธรรมชาติของเชื้อไวรัสนั้นสามารถติดซ้ำได้ แต่เนื่องจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เป็นเชื้อใหม่ที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ ต้องติดตามต่อ แต่ส่วนใหญ่ของคนที่เพิ่งหายจากเชื้อไวรัสนั้นจะไม่ติดซ้ำในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ประสบการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 พบคนที่เคยป่วยเกิดการติดเชื้อซ้ำใช้เวลา 2-3 ปี ส่วนที่จีนออกมาประกาศว่ามียา 3 ตัวรักษานั้น ตอนนี้ไทยก็มีนักวิชาการวิเคราะห์อยู่ ต้องใช้เวลา หากใช้ได้จริงจะประกาศให้ใช้

ด้าน นพ.สรรพงศ์ ฤทธิรักษา รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ฟ้าทะลายโจรมีสารสำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและต้านการอักเสบ จีนเคยศึกษาและจดสิทธิบัตรว่าสาระสำคัญในฟ้าทtลายโจรสามารถรักษา ป้องกันโรคซาร์สได้ แต่เรียนว่าไวรัสซาร์ส และไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้นมีระดับพันธุ์กรรมที่ต่างกัน จึงต้องมีการศึกษาก่อน อย่างไรก็ตามถ้ากินเพื่อหวังในการบำรุงร่างกายสามารถทำได้ ซึ่งจริง ๆ ยังมีสมุนไพรตัวอื่น ๆ ที่กินบำรุงร่างกายได้เช่นกัน อาทิ กระเทียม ตะไคร้ กระเพรา เป็นต้น