ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รองปลัดสธ. แจงหลักการสอบสวนฯ “นพ.ชาญชัย” ผอ.รพ.ขอนแก่นเป็นไปตามระเบียบ ขณะที่กก.สอบฯ ยืนยันบัตรสนเท่ห์นำไปสู่การตรวจสอบได้ เพราะมีหลักฐาน หนำซ้ำสอบพยานแล้ว 11 ปาก ด้านหมอชาญชัย พร้อมให้ข้อมูลกก. ยืนยันปฏิบัติตามระเบียบ 

ตามที่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลขอนแก่นออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมกรณีนพ.ชาญชัย จันทร์วรขัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น หลังถูกตั้งกรรมการทั้งสืบข้อเท็จจริง จนนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกรณีมีผู้ร้องเรียนกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และระเบียบของราชการเรื่องเรียกรับเงินจากบริษัทยา และร้านค้าร้อยละ 5 เข้าบัญชีกองทุนพัฒนา รพ.ขอนแก่น จนเกิดกระแส SAVE หมอชาญชัย

นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวถึงกรณีการสอบสวนนพ.ชาญชัย สืบเนื่องจากปลายปี 2562 มีผู้ร้องเรียนส่งมาที่ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต พร้อมแนบหลักฐานส่งมาที่ศูนย์ฯ โดยศูนย์ฯจึงพิจารณา โดยผู้ร้องเรียนไม่ได้ลงนาม เพราะถ้าลงนามก็จะมีคณะกรรมการอีกชุดหนึ่ง แต่เมื่อเป็นการร้องเรียนปกติ จึงมอบให้กลุ่มเสริมสร้างและระบบคุณธรรมทำการตรวจสอบตามระบบปกติ โดยประมาณปลายเดือนตุลาคม ทางกลุ่มเสริมสรางวินัยและระบบคุณธรรมจึงทำหนังสือจากการตรวจสอบมาว่า ต้องไปสอบข้อเท็จจริงว่า มีมูลหรือไม่อย่างไร ซึ่งร้องเรียนมาหลายประเด็นมาก มีการร้องเรียนทั้งผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่การเงิน ซึ่งประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมาพบว่ามีบางประเด็นที่มีหลักฐานเชื่อได้ว่ารพ.ขอนแก่นทำไม่ถูกต้องในเชิงหลักการณ์ที่เราได้ถือปฏิบัติ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้เราได้ปฏิบัติมาตลอด ไม่ใช่แค่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขท่านนี้เท่านั้น จริงๆการตรวจสอบครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก็เคยมีกระบวนการเช่นนี้เหมือนกัน เป็นกระบวนการปกติไม่มีใคร

นพ.อภิชาติ รอดสม สาธารณสุขนิเทศก์ที่ 6 กล่าวว่า ตนได้เป็นกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค. 2562 โดยเราได้เรียกพยายนบุคคล และพยานเอกสาร ทั้งรัฐและเอกชน จากนั้นรวบรวมสรุปผลเพื่อเสนอผู้มี่อำนาจต่อไป ซึ่งกระบวนการดำเนินการนั้นเราได้ดำเนินการตามปกติ โดยได้รวบรวมหลักฐานมาตลอด โดยเราพบว่ามีมูลหลักฐานความผิดของกฎหมาย ป.ป.ช. เพื่อเสนอผู้มีอำนาจ โดยมูลนั้น คือ การรับเงินเข้าสู่กองทุนที่ขัดต่อกฎหมายป.ป.ช. และมีการรับทราบในการลงรับเรื่องมาตลอด

นพ.อภิชาติ รอดสม

“ขอย้ำว่า กรณีการสอบสวนที่ผ่านมาทำตามกฎหมายทั้งหมด โดยเป็นไปตามกฎ กพ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556 ข้อ 4 (1) (2) ว่า หากการร้องเรียนเป็นบัตรสนเท่ห์ที่ไม่มีการลงชื่อ แต่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ และเป็นเบาะแสได้นั้น ก็ต้องตรวจสอบ และทางคณะกรรมการสอบสวนก็มีการสอบพยานประมาณ 11 ปาก เอกสารไม่ต่ำกว่า 18 ชุด ทั้งหมดมีหลักฐานเป็นไปตามกฎหมาย” นพ.อภิชาติ กล่าว

น.ส.ยุพิน ตันวิสุทธิ ผอ.กลุ่มเสริมสร้างวินัยและระบบคุณธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่กฎหมาย ป.ป.ช. โดยตรง แต่ป.ป.ช. มีข้อเสนอให้ครม. ให้ความเห็นชอบว่า ต่อไปนี้ส่วนราชการจะรับเงินเปอร์เซ็นต์ยา ไม่ได้ หากมีกรณีเช่นนี้อีก ให้ถือว่าผู้ฝ่าฝืนทำผิดความผิดวินัย ซึ่งก็จะเข้าเรื่องไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบราชการ จึงเป็นได้ทั้งวินัยร้ายแรงและไม่ร้ายแรง ซึ่งขัดต่อมติ ครม. ที่ป.ป.ช.เสนอเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่าปกติการสอบสวนบัตรสนเท่ห์ทำได้ตลอดหรือไม่ น.ส.ยุพิน กล่าวว่า กรณีบัตรสนเท่ห์ที่ไม่แสดงแต่ส่งเอกสาร หรือชี้เบาะแสทำให้ตรวจสอบต่อไปได้ จำเป็นต้องตรวจสอบ แต่หากเป็นบัตรสนเท่ห์ที่เขียนมาลอยๆ ก็ไม่ต้องดำเนินการ แต่หากมีพยานหลักฐานดำเนินการสอบสวนได้

เมื่อถามว่าผู้ถูกสอบสวนวินัยร้ายแรงต้องย้ายออกจากพื้นที่หรือไม่ น.ส.ยุพิน กล่าวว่า ตามกฎหมายหากผู้ถูกสอบสวนมีเหตุให้มีผลขัดขวางการสอบสวน ก็สามารถย้ายออกได้ แต่ต้องมีพฤติการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแสดงออกมาก่อน ทั้งก่อน ระหว่างก็ได้ ซึ่งหากทำให้การสอบสวนไม่สามารถดำเนินไปได้ตามปกติ ก็ย้ายได้ อย่างไรก็ตาม การสอบสวนทางวินัยร้ายแรงต้องไม่เกิน 180 วัน แต่หากมีเหตุจำเป็นขยายเวลาได้ แต่ไม่ควรเกินทั้งหมด 270 วัน

นพ.ยงยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า มติครม.มีมาตั้งแต่ปลายปี 2560 ถึงต้นปี 2561 โดยกระทรวงสาธารณสุขมีหนังสือแจ้งเมื่อวันที่  2 มี.ค.2561  เกี่ยวกับข้อปฏิบัติตามครม. ที่ป.ป.ช.เสนอ แต่ในสส่วนของรพ.ขอนแก่นนั้น จากการตรวจสอบพบว่า มี.ค. รับเงิน 1.5 ล้านบาท และยังรับอีก 2 -3 เดือนต่อเนื่อง การรับตรงนี้เมื่อตรวจสอบยังพบว่า จำนวนเงินที่แตกต่างกันนั้น ขึ้นอยู่กับ รพ.ซื้อยาเท่าไหร่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่างตอบแทน อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนต่อไปในการตรวจสอบวินัยร้ายแรง ก็ต้องไปดูว่าทุจริตหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทุจริต แต่ถูกสงสัยว่าอาจกระทำผิดระเบียบในเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทนด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะมีหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงที่มี นพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขต 6

เมื่อถามว่ากรณีที่เกิดขึ้นเกิดคำถามว่าต้องการโยกย้ายผู้อำนวยการรพ.ขอนแก่น นพ.ยงยศ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการทำตามหนังสือร้องเรียน พร้อมหลักฐาน ซึ่งมีการตรวจสอบตามหนังสือทั้งหมด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายข้าราชการแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม การสอบสวนตามบัตรสนเท่ห์นั้น ปกติมีมากกว่ามีการลงชื่อ เพราะต้องเข้าใจว่า อำนาจของผู้ถูกร้องมีมากกว่าผู้ร้อง จึงไม่ลงชื่อกัน

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้โทรไปสัมภาษณ์ นพ.ชาญชัย เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ตนพร้อมให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการทั้งหมด เนื่องจากยืนยันว่าไม่ได้มีการกระทำใดๆที่ไปในทางทุจริต โดยหลังจากกระทรวงสาธารณสุขมีหนังสือให้ปฏิบัติตามข้อสั่งการตั้งแต่ช่วงมี.ค. 2561 ที่ผ่านมาเกี่ยวกับทางการเงินดังกล่าวนั้น ตนได้ทำหนังสือเวียนให้รองบริหารของทางรพ.ขอนแก่น และได้เรียกประชุมเมื่อช่วงปลายเดือนมี.ค.โดยให้ทุกฝ่ายถือปฏิบัติ

เมื่อถามถึงข้อกล่าวหารับเงินบริจาคจากบริษัทยา นพ.ชาญชัย กล่าวว่า ทางการเงินได้รวบรวมส่งให้ฝ่ายบัญชี และฝ่ายบัญชีส่งให้รองบริหาร และมีตนในฐานะผอ.รพ.ลงนามเกี่ยวกับเงินบริจาค ซึ่งเงินบริจาคเป็นเงินที่เปิดให้ประชาชนสามารถบริจาคเข้ากองทุนพัฒนารพ.ขอนแก่น โดยจำนวนเงินบริจาคไม่ได้มีการแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับรายชื่อผู้บริจาคส่งขึ้นมา ซึ่งคาดว่าที่เป็นเช่นนั้นน่าจะอยู่ที่กำลังปรับระบบอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ตนขอยืนยันพร้อมให้ข้อมูลคณะกรรมการทั้งหมด