ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เปิดสถานการณ์นานาประเทศ กับการรับมือโควิด-19 ระบาดระลอกสอง แม้เอเชีย อย่างจีน และญี่ปุ่นจำนวนผู้ป่วยไม่มากเท่าเดิม แต่วางใจไม่ได้ มาตรการป้องกันตนเอง ทั้งสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ยังต้องทำควบคู่ไปกับการรอวัคซีนป้องกันโควิด-19

จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ล่าสุดทะลุ 50 ล้านคนทั่วโลก เป็นสถิติใหม่ที่มาพร้อมกับจำนวนผู้ป่วยในหลายประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันสูงสุดทุบสติเดิม เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งผ่านสมรภูมิการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งในที่สุดแล้ว ประชาชนชาวอเมริกาเทใจเลือกนายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ แทนนายโดนัลทรัมป์ ที่พ่ายแพ้ให้กับการเลือกตั้งด้วยพิษโควิด-19 ซึ่งประธานาธิบดีคนใหม่ โจ เดน ประกาศกร้าวต่อสาธารณชนว่า นโยบายเร่งด่วนที่เขาจะต้องทำคือ การระงับการระบาทของโรคให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งเขาจะดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า แต่ดูเหมือนว่า โรคระบาดไม่มีท่าทีที่จะรอคอยให้ประธานาธิบดีคนใหม่เข้ามาทำงาน

รายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัยจอน ฮอบสกิ้น ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐอเมริกาทะลุ 126,742 ราย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติผู้ป่วยใหม่รายวันที่สูงสุดเท่าที่เคยมีมา ในขณะที่ประชากรของสหรัฐคิดเป็น 4.3% ของประชากรทั่วโลก และจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมดในสหรัฐ ผู้เชี่ยวชาญทางโรคระบาดตัวเลขประเมินผู้ป่วยโควิด-19 ในสหรัฐเป็นการประเมินค่อนข้างไปในแนวทางอนุรักษ์นิยม ซึ่งหมายความว่าตัวเลขอาจจะต่ำไปจากความเป็นจริง เพราะมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่แสดงอาการ และบางรายก็ไม่ได้มีการตรวจว่าได้รับเชื้อหรือไม่ ในขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเพียงวันเดียว มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 คน ประมาณการกันว่าผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นถึง 1.25 ล้านคน ทั่วโลก รวมถึงจำนวนผู้เสียชีวิต 237,000 รายในสหรัฐอเมริกา

ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ โจ ไบเดน กล่าวว่าเขาจะดำเนินนโยบายอย่างเข้มข้นเพื่อระงับการแพร่ระบาดของโรคโควิด หลังจากที่นายโดนัล ทรัมป์ไม่ได้ให้ความสนใจในการยับยั้งการระบาดของโรคดังกล่าว และละเลยมาตรการป้องกันทางสาธารณสุขเบื้องต้น เช่นการใส่หน้ากากเมื่ออกจากบ้าน หรือการรักษาระยะห่างทางสังคม เป็นต้น โดยเขาจะทำงานร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์ และเพิ่มมาตรการการตรวจหาเชื้อในเชิงรุก พร้อมทั้งรณรงค์ให้คนหันมาสวมใส่หน้ากากกันมากขึ้นเมื่อออกจากบ้าน ในขณะที่อดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ดร. สก๊อต ก็อตลิเอิบ กล่าวว่าอัตราการติดเชื้อของผู้ป่วยรายใหม่มีแนวโน้มลดลงในปลายเดือนมกราคม ปีหน้า แต่คำถามก็คือว่า ในระหว่างทางจะต้องมีผู้เสียชีวิต และผู้ป่วยอีกเท่าไหร่

ในรัฐนิวเจอร์ซี ที่อยู่ใกล้กับนิวยอร์ก มีรายงานการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 5,250 ราย และ 3,207 รายเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในหนึ่งวัน ซึ่งเป็นตัวเลขผู้ที่ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันที่สูงที่สุดตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 รายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นอยู่ที่ 14,629 รายในรัฐนี้ โดยผู้ว่าการรัฐ นาย ฟิล เมอร์ฟี กล่าวแนะนำว่า ประชาชนไม่ควรออกจากบ้านถ้าไม่มีคามจำเป็น และจำเป็นจะต้องมีมาตรการอื่นตามมาในเร็วๆนี้ เพื่อควบคุมการระบาดของโรค โดยเน้นยำว่ามาตรการที่นำมาใช้จะทำให้เกิดความสมดุลมากที่สุด

ภาพจาก : Gerd Altmann จาก Pixabay 

ไม่เพียงแต่สหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่กำลังเผชิญสถานการณ์การระบาดรอบสองของโรคโควิด-19 หลายประเทศในยุโรปก็กำลังเจอสถานการณ์เดียวกัน รายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่าการระบาดรอบสองนั้นมีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ประมาณหนึ่งในสี่ของผู้ป่วยทั่วโลก

ประเทศอังกฤษ ประกาศล็อกดาวน์ตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 2 ธันวาคม โดยผับ ร้านอาหาร และร้านค้าอื่นๆที่ไม่มีความจำเป็น ประกาศให้หยุดการให้บริการแก่ลูกค้า และคนถูกคำสั่งให้อยู่แต่ในที่พักอาศัยและสามารถพบปะได้แค่เพื่อนบ้านเพียงคนเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามผลการศึกษาของ ZOE COVID Symptom Study UK Infection Survey พบว่าแนวโน้มการติดเชื้อของคนในประเทศอังกฤษเองมีแนวโน้มที่ลดลงทั้งในสก็อตแลนด์ และเวลส์ โดยเฉลี่ยแล้วมีคนติดเชื้อในอังกฤษ ประมาณวันละ 42,049 รายต่อวันในช่วงสองอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม และจำนวนเพิ่มขึ้น 43,569 รายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และในอังกฤษตอนเหนือกับสก๊อตแลนด์พบว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลงในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา รวมถึงอัตราการติดเชื้อก็ลดลงในกลุ่มช่วงอายุต่างๆ ยกเว้นกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังต้องเฝ้าจับตามองกันเป็นพิเศษ จากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว จึงมีความเชื่อมั่นว่าประเทศอังกฤษได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดของการระบาดรอบสองแล้ว และสถานการณ์น่าจะดีขึ้นเป็นลำดับหลังการสิ้นสุดการล็อกดาวน์ในต้นเดือนหน้า

ในขณะนี้ 1 ใน 3 ของประชากรยุโรป กำลังเผชิญกับคำสั่งล็อกดาวน์ของรัฐบาล เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดของโรค ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลหลายประเทศในยุโรปนำหลายมาตรการมาใช้เพื่อจำกัดการระบาดที่มีการระบาดสูงสุดในแต่ละประเทศ อย่างเช่น ฝรั่งเศสออกคำสั่งล็อกดาวน์อีกครั้งตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน จนถึงวันที่ 1 ธันวาคม โดยห้ามการพบปะสังสรรค์ ร้านอาหารและบาร์ต้องปิด และคนสามารถออกจากบ้านเพื่อไปทำงานในกรณีทีจำเป็นจริงๆ เท่านั้น หรือสามารถออกจากบ้านเพื่อไปพบแพทย์เท่านั้น

เยอรมันนี ก็ดำเนินมาตรการเช่นเดียวกันกับฝรั่งเศส โดยจะมีผลถึงวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ โดยที่ร้านอาหารและบาร์ สามารถเปิดบริการให้มื้อกลับบ้านทานเท่านั้น โรง๓พยนตร์ สถานที่ออกกำลังกาย ปิดบริการ และคนสามารถติดต่อพูดคุยกนไม่เกินสิบตนในละแวกบ้านเท่านั้น ส่วนเบลเยี่ยมประกาศล็อกดาวน์ถึงวันที่ 13 ธันวาคม แต่สามารถเข้าใช้บริการผับได้ไม่เกินสี่คนเท่านั้น อิตาลี กรีซ โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ต่างก็ใช้มาตรการล็อกดาวน์ ในขณะที่ สเปนใช้มาตรการเคอร์ฟิว สวีเดน รัฐบาลขอความร่วมมือลดการไปงานปาร์ตี้ และสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน

ผู้เชี่ยวชาญทางระบาดวิทยาของจีน นาย หยาง โกหยวน กล่าวว่า ช่วงเดือนหน้าจะเป็นช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิดสูงสุดอีกครั้ง จนถึงตนปีเนื่องจากสภาวะอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงอยู่ของเชื้อโควิด แต่อย่างไรก็ตามความรุนแรงของโลกจะลดน้อยลงเมื่อเทียบกับการระบาดในช่วงต้นๆ เนื่องจากมีประสบการณ์ที่มากขึ้นในการควบคุมโรคหลังจากมรการระบาดมานานแล้วกว่า 9 เดือน

ทางด้านเอเชีย สถานการณ์ดีขึ้น ทั้งในประเทศ จีน และญี่ปุ่นที่มีจำนวนผู้ป่วยลดน้อยลงมาก ประเทศญี่ปุ่นเองเริ่มประกาศต้อนรับนักท่องเที่ยวใหม่อีกครั้งในเดือนนี้ หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงเหลือ 438 ราย จาก 1,726 รายในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงแม้การระบาดรอบสองในหลายประเทศดูเหมือนจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลดลง แต่เราก็ไม่สามารถวางใจได้จนกว่าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จะประสบความสำเร็จในอนาคตอันใกล้

ภาพจาก เที่ยวนิวยอร์กดอทคอม

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

New Jersey poised to announce more restrictions as cases surge, NorthJursey.com

Covid-19: Global Coronavirus cases pass 50 million, US Today November 9, 2020

Two-thirds of Europe's entire population are now under some form of lockdown or new restrictions in the face of a new COVID-19 surge; Business Insider November 4, 2020

Global pandemic’s 2nd wave “likely to peak in December” Global Times October 12, 2020