ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

วัคซีนมาโควิดจะถอยแค่ไหน (ตอนที่ 1)

วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์

9 มกราคม 2564

เดือนที่ผ่านมาจำนวนผู้ติดเชื้อที่รายงานกระโดดขึ้นจากการระบาดในแรงงานข้ามชาติที่สมุทรสาคร ตามต่อด้วยการแพร่เชื้อของผู้เดินทางผ่าน และกลุ่มนักพนัน และแพร่ไปสู่จังหวัดทางภาคตะวันออก สัปดาห์นี้ยังคงเพิ่มจำนวนอย่างช้า ๆ วันละเลขสามหลัก

ดูจากตัวเลขที่รายงาน ผมเชื่อว่าการแพร่ในกลุ่มคนทั่วไปที่ไม่ใช่แรงงานข้ามชาติน่าจะพอควบคุมได้ ถ้าไม่ใช่พวกรวมกลุ่มพิเศษที่ขลุกอยู่กันนาน ๆ และติดเชื้อกันถ้วนทั่วแล้ว คนที่ไปรับเชื้อต่อแพร่ไปไม่ค่อยมาก ระบบควบคุมโรคของเรายังทำงานได้ผลโดยพื้นฐาน

ตัวเลขส่วนที่ผมไม่ค่อยแน่ใจและไม่รู้ว่าเราจะคุมได้ขนาดไหน คือ แรงงานข้ามชาติ ถ้ามีจำนวนนับแสนในสมุทรสาครอย่างที่ว่ากัน เราจะมีกำลังตรวจครบถ้วนได้อย่างไร

ผมดีใจที่ข้อเสนอของผมได้รับการพิจารณา คือ ให้พิจารณาแรงงานเป็นกลุ่มที่อยู่ด้วยกันหนาแน่นทางภูมิศาสตร์ (cluster) แทนที่จะดูเป็นรายคน ดูจากแผนที่แล้ว เราคงมี cluster แบบนี้อยู่ราว 300-500 cluster ถ้ามีแรงงานอยู่หนึ่งแสนคน โดยเฉลี่ยก็คงจะประมาณ 200 คนต่อ clusters ซึ่งอาจจะมีทั้ง cluster เล็ก ๆ ระดับเป็นสิบ และ ใหญ่ ๆ ระดับพัน (ตัวเลขพวกนี้ต้องเดาเอาทั้งนั้น พื้นที่ไม่ได้แบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ออกสู่ภายนอกเลย) ผมได้เสนอว่าเพื่อให้การควบคุมมีประสิทธิภาพ เราต้องสำรวจให้ได้จำนวน clusters มากที่สุด ในแต่ละ cluster ไม่จำเป็นต้องตรวจคนงานทุกคน ควรสุ่มตัวอย่างออกมาตรวจ ถ้าพบเชื้อระดับหนึ่งก็ต้องถือว่า cluster นั้นน่าจะมีผู้แพร่เชื้อมีวิธีจัดการอย่างหนึ่ง ถ้าไม่พบเชื้อก็ผ่านไป นัดกลับมาตรวจใหม่ในอีกระยะเวลาหนึ่งเช่นสองสัปดาห์

ช่วงสองสามวันมานี้ รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อในแรงงานข้ามชาติที่ตรวจโดยออกสำรวจพื้นที่ (active case finding) ก็อยู่ในระดับต่ำสิบต่อวัน ดูเสมือนหนึ่งการควบคุมจะได้ผล แต่เราจะไม่ทราบว่าเขาออกตรวจกันอย่างไร ถ้าสุ่มตรวจตามที่ผมแนะนำไป จำนวนผู้พบเชื้อก็ไม่สามารถสะท้อนภาพระดับการติดเชื้อโดยตรง ถ้าผู้ติดเชื้อถูกสุ่มมาจาก cluster ใหญ่ ก็ส่อว่ายังมีผู้ติดอีกจำนวนมาก เรื่องพวกนี้เรียกว่าการถ่วงน้ำหนักกลุ่มตัวอย่าง (weighted sampling) ตัวเลขดิบ ๆ ที่รายงานจากการสุ่มตรวจเป็นการรายงานที่ไม่ให้ข้อเท็จจริงมากพอนะครับ

ถ้าการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติสงบลงจริง ก็ถือว่าประเทศไทยนี่เก่งจริง ๆ เพราะแรงงานข้ามชาติเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดที่โควิดใช้โจมตีประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย เมื่อไทยควบคุมการระบาดทั้งในแรงงานข้ามชาติได้และในประชาชนทั่วไปได้ เราก็จะกลับมาสงบสุขอีกระดับหนึ่งเหมือนเมื่อสามสี่เดือนก่อนหน้านี้ สาธุ ขอให้เป็นไปตามคำอธิษฐานนี้นะครับ และขอเชิดชูท่านที่ทำงานอยู่ในแนวหน้าที่กำลังช่วยให้เราบรรลุชัย

แต่ตัวเลขจำนวนรายงานต่ำสิบจะแสดงว่าเราควบคุมการแพร่ระบาดในแรงงานข้ามชาติจึงละหรือ อย่างที่บอกแล้วว่าเราไม่ทราบความเข้มข้นของการค้นหา ปัญหาใหญ่ที่ผมเดาอย่างหนักใจในขณะนี้ คือ เราอาจจะต้องเพลา ๆ การค้นหาเพราะเมื่อพบผู้แพร่เชื้อแล้ว เราไม่สามารถหาที่กักกันตัวผู้แพร่เชื้อได้ เนื่องจากคนที่พอจะช่วยให้ที่พักกักตัวได้ก็มีภยาคติ หรือ อคติจากความกลัวเข้าครอบงำ การหาสถานที่พักกักตัวไม่ได้สร้างความกังวลให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การค้นหาก็ไม่ได้เป็นยุทธวิธีที่สำคัญอีกต่อไป

นอกจากกลัวว่าเราอาจจะชะลอการค้นหาในกลุ่มแรงงานข้ามชาติแล้ว ผมยังกังวลว่ากลุ่มที่ตรวจแล้วว่าไม่พบ อาจจะมีผู้แพร่เชื้อหลงเหลืออยู่และกลับมาจุดเทียนเวียนวน หรือมีผู้นำเข้าเชื้อรายใหม่ที่ซ่อนเร้นอยู่ แพร่เชื้อให้ระเบิดเถิดเทิงในกลุ่มนั้นอีก เราก็จะควบคุมการแพร่เชื้อไม่ได้สักที วันร้ายคืนร้าย เชื้อก็หลุดรอดออกไปสู่ภายนอก แพร่ในประชาชนทั่วไปอีก

ทำไมเชื้อจึงแพร่ได้ดีในแรงงานข้ามชาติ และแพร่ได้ยากกว่าในประชาชนไทยทั่วไป เรื่องนี้น่าจะอธิบายด้วยความแตกต่างของสภาพแวดล้อมชีวิตความเป็นอยู่ ถ้าเราสามารถปรับให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขามีมาตรฐานเหมือนคนไทยทั่วไปจริง การระบาดก็คงไม่แตกต่างกับในคนไทย แต่เราจะจัดการอย่างนั้นได้จริงละหรือ

เมื่อเราตอบว่าคงทำไม่ไหว เราก็มีทางเลือกอยู่สองทาง คือ ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แบบปัจจุบัน ซึ่งไม่ทราบว่าจะนานเท่าไร เพราะแรงงานถูกบริเวณ มีปัญหาต่อตัวแรงงานเอง นายจ้าง และ ระบบเศรษฐกิจโดยรวม

ทางเลือกทางที่สอง คือ ต้องใช้อาวุธนำเข้าชนิดใหม่ คือ วัคซีน

ท่านทั้งหลายคงจะร้องเฮ้ย คิดอย่างนั้นได้อย่างไร ของมีน้อยต้องให้คนไทยก่อน รัฐบาลประกาศแล้วว่ากำลังจะนำเข้าและมีแนวโน้มที่จะฉีดกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ เช่น คุณหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในพื้นที่เสี่ยงอย่างสมุทรสาคร ผู้เฒ่าชแรแก่ชรา คนที่มีโรคประจำตัว

ผมไม่คิดว่าบทความนี้จะเปลี่ยนความคิดของรัฐบาลหรือใครได้ทั้งนั้น แต่ อยากฝากให้คิดว่า สุดท้าย เราต้องการอะไร เป้าหมายใหญ่ น่าจะเป็นสภาพที่ คนทั้งชาติปลอดภัยจากโควิดมากขึ้น เศรษฐกิจเริ่มขับเคลือนได้ การท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้งหนึ่งได้เร็วขึ้น คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้น ถ้าเราจัดสรรวัคซีนตามฉันทาคติ หรือ อคติที่เกิดจากความรัก หรือ แม้แต่เมตตาคติ คือ อคติที่เกิดจากความเมตตา เราอาจจะบรรลุเป้าหมายที่ว่านั้นได้ช้าหน่อย

ถ้าเราเชื่อว่าเราสามารถกักกันแรงงานข้ามชาติให้อยู่เฉพาะบริเวณแคบ ๆ ได้ เปรียบเสมือนเชื่อว่า ไฟที่โหมไหม้อยู่ใจกลางของประเทศจะค่อย ๆ มอดดับไปเองเมื่อเวลาผ่านไป ทิ้งไว้นาน ๆ โควิดในกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะหายไปเอง เราก็ทำอย่างที่ทำอยู่ก็พอแล้ว แต่ถ้าเราเชื่อว่าไฟกองใหญ่นี้จะปะทุลุกลามไหม้ออกเป็นบริเวณกว้างอีก เหมือนระเบิดจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เชอร์โนบิลสามารถแพร่กัมมันตรังสีได้ไกลและนาน เราก็ต้องเล็งกระบอกดับเพลิงไปที่ฐานกองไฟ เอาสารเคมีหรือวัสดุดับไฟ หรือ วัสดุกันนิวเคลียร์กลบเชื้อเพลิงและออกซิเจนไม่ให้เกิดการสันดาปอย่างยิ่งยวด กลบเตาปฏิกรณ์ไม่ให้มีกัมมันตรังสีแผ่ออกมา ใครกลุ่มไหนในประเทศไทยที่มีโอกาสแพร่เชื้อให้คนอื่นมากที่สุดโดยที่รัฐไม่สามารถควบคุมได้ สมควรได้รับวัคซีนก่อน เพื่อชะลอการระบาด ถ่วงเวลาให้วัคซีนล็อตใหญ่มาถึงและครอบคลุมคนได้ทั่วประเทศ

หมอพยาบาลและคนทำงานในพื้นที่สีแดงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ เขาควรสมควรได้เป็นอันดับต้น ๆ แต่ในแง่ของการระบาด สถิติที่ผ่านมาบอกเราว่าหมอและพยาบาลไทยค่อนข้างเก่ง ดูแลตัวเองได้ดี (ถ้าลูกเมียของผมอ่านบทความนี้คงไม่ให้ผมเข้าบ้าน) เขาเสี่ยงก็จริงอยู่ แต่บทบาทการแพร่เชื้อมีจำกัด การฉีดวัคซีนให้แก่หมอและพยาบาลจึงมีผลระงับการแพร่เชื้อได้น้อย ถ้าสังคมภายนอกโรงพยาบาลติดเชื้อน้อย หมอและพยาบาลก็ปลอดภัยเพิ่มขึ้นด้วย

ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว เป็นกลุ่มที่จะได้รับอันตรายมาก ถ้าติดเชื้อ แต่ถ้าเราป้องกันการระบาดได้ผล ท่านมีโอกาสได้รับเชื้อน้อย ลดโอกาสในการรับเชื้อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม อาจจะได้ผลดีกว่าปล่อยให้มีกลุ่มแพร่เชื้อ จนเชื้อระบาดถึงครัวเรือน

คิดให้เหลวไหลไปกว่านั้นอีกดีไหม ในทางตรงกันข้ามครับ เรารู้ว่ากลุ่มคนที่แพร่เชื้อในประเทศไทยที่ผ่านมา ล้วนเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข 6 ประการ คือ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูการเล่น เล่นการพนัน คบเพื่อนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านการงาน (ประการสุดท้ายนี่ยังนักไม่ออกว่าเกี่ยวกับโควิดยังไง) ถ้ารัฐบาลจัดการไม่ได้ ยังปล่อยให้เปิดผับเปิดบาร์ ขายสุราอยู่ ก็แถมฉีดวัคซีนให้คนพวกนี้ไปเลยสิครับ เขาจะได้ลดการแพร่โรค เราจะได้ปลอดภัย

ตามหลักระบาดวิทยาที่ไม่มีอคติแล้ว ต้อง ป้องกันในกลุ่มคนแพร่โรคเหล่านี้ก่อนคนที่อยู่ปลายน้ำนะครับ คนปลายน้ำก็จะได้ประโยชน์มากกว่า

เรื่องนี้ยังไม่จบ ตอนต่อไปจะเดาว่าวัคซีนมาแล้วเราจะเปิดประเทศได้แค่ไหน เมื่อไหร่

----------------------------------

อ้างอิงรูปภาพจาก https://research.psu.ac.th/th/index.php/contest-news/317-344