ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงสาธารณสุขแจงฉีดวัคซีนโควิด 19 ระยะแรก เริ่มในกลุ่มเสี่ยงพื้นที่เสี่ยง สถานพยาบาลคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ มีเจ้าหน้าที่ติดต่อนัดหมาย ย้ำยังไม่มีการเปิดลงทะเบียนจอง หรือขอรับฉีดด้วยตนเอง ชวนประชาชนเพิ่มเพื่อนในไลน์ “หมอพร้อม” รับข้อมูลข่าวสารวัคซีนโควิด ติดตามอาการหลังฉีด

เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโควิด 19 กล่าวว่า การบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ตั้งเป้าให้คนไทยทุกคนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ในระยะแรกที่วัคซีนมีจำกัด จะฉีดให้กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยงก่อน โดยวัคซีนโควิด 19 ของซิโนแวคที่ได้รับมา 2 แสนโดสแรก ได้กระจายไปยังพื้นที่เสี่ยงใน 13 จังหวัดแล้ว

โดยจะฉีดใน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ประชาชนที่เป็นโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรังที่ได้รับการบำบัดทดแทนไต โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งที่อยู่ระหว่างการบำบัด เบาหวาน และโรคอ้วน 2.ประชาชนกลุ่มเสี่ยงตามหลักระบาดวิทยา เช่น พื้นที่ที่พบการระบาดของโรคจำนวนมาก เพื่อลดความรุนแรง และลดอัตราการเสียชีวิต เช่น ตลาดพรพัฒน์ จ.ปทุมธานีที่มีการระบาด เป็นต้น 3.กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน และ 4.บุคลากรอื่นๆ ที่เป็นด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย รวมถึง อสม. โดยจะฉีดให้ 1 แสนคน คนละ 2 โดส ฉีดห่างกัน 21 วัน คาดว่าจะฉีดครบถ้วนทั้ง 2 เข็มภายใน 1 เดือนครึ่ง

“โรงพยาบาลจะเป็นผู้กำหนดกลุ่มเป้าหมายและจัดลำดับการได้รับวัคซีนก่อน-หลัง ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ และจะติดต่อกลุ่มเป้าหมายที่เข้าเกณฑ์เพื่อนัดหมายฉีดวัคซีน ดังนั้น ประชาชนใน 13 จังหวัดที่ได้รับวัคซีนโควิด 19 ขอให้เพิ่มเพื่อนในไลน์ “หมอพร้อม” เพื่อตรวจสอบรายชื่อ รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน และติดตามอาการภายหลังรับการฉีดวัคซีน สำหรับประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนจะมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอสม.ติดตามชี้แจง ขอย้ำว่า กระทรวงสาธารณสุขยังไม่เปิดรับการลงทะเบียนจองคิว หรือไปขอรับการฉีดด้วยตนเอง หากประชาชนสงสัยว่าจะได้รับวัคซีนเมื่อไร ให้ตรวจสอบว่าตนเองอยู่ในจังหวัดที่ได้รับวัคซีน และเป็นกลุ่มเป้าหมายในระยะแรกหรือไม่ โดยโทรสอบถามโรงพยาบาลที่รักษาตัวอยู่ หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422” นพ.โสภณกล่าว