ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“ศ.นพ.ยง” ให้ข้อมูลเมื่อไทยมีวัคซีนจำกัด “ซิโนแวค-แอสตร้า” ความจำเป็นต้องฉีดสลับชนิด เพื่อกระตุ้นภูมิต้านทาน ต่อสู้ไวรัสกลายพันธุ์ “เดลตา” จู่โจม!! ชี้ให้ซิโนแวคก่อน และตามด้วยแอสตร้าฯ กระตุ้นภูมิฯสูงขึ้นเร็ว แม้สูงไม่เท่าแอสตร้าฯ 2 เข็ม แต่ภูมิฯ สูงในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ แทนจะรอไปถึง 12 สัปดาห์อาจไม่ทันเดลตาระบาดหนัก ย้ำ! หากอนาคตมีวัคซีนชนิดอื่นเข้าไทยพร้อมปรับเปลี่ยน

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 13 ก.ค.2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชาการกุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าว “การให้วัคซีนโควิด19 สลับชนิด” ว่า โควิดอยู่กับเรามาปีครึ่ง โดยโรคนี้จะหยุดวิกฤตได้ด้วยวัคซีน หากส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนและมีภูมิต้านทานเกิดขึ้น ลดอาการรุนแรง การป่วยหนักและเสียชีวิต และหากลดการติดเชื้อด้วยได้จะดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเราฉีดวัคซีนไม่ถึง 13 ล้านโดส ขอบเขตนี้ยังไม่ถึงเป้าหมาย เพราะปริมาณวัคซีนมีจำกัด จึงจึงเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบริหารวัคซีนให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยการจะทำได้ ต้องมีการศึกษาวิจัยรูปแบบของไทยจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งระยะแรก วัคซีนทุกบริษัททุกยี่ห้อผลิตจากต้นแบบสายพันธุ์ไวรัสที่มาจากอู่ฮั่น เพราะกระบวนการผลิตต้องใช้เวลา กว่าจะผลิตได้ใช้เวลาร่วม 1 ปี และระยะเวลานั้นตัวไวรัสก็กลายพันธุ์ หนีออกจากระบบของภูมิต้านทานของเรา จะเห็นได้ว่า บริษัทไหนที่ผลิตวัคซีนออกมาได้ก่อน การศึกษาประสิทธิภาพก็สูง แต่หากบริษัทไหนใช้สายพันธุ์เดิมและมาศึกษาระยะหลัง ประสิทธิภาพก็จะลดลง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ

00 ปัจจุบันไทยมีวัคซีนสองชนิด “เชื้อตาย-ไวรัลเวกเตอร์”

สำหรับประเทศไทยเราใช้วัคซีนชนิดเชื้อตาย และไวรัล เวกเตอร์ (Viral vector vaccines) โดยเชื้อตาย คือ ซิโนแวค ส่วนซิโนฟาร์มเพิ่งเข้ามา ส่วนไวรัล เวกเตอร์ คือ แอสตร้าเซนเนก้า โดยไวรัสเชื้อตายผลิตมาจากวิธีเดิมที่ทำมากว่า 50 ปีแล้ว ด้วยการเพาะเลี้ยงไวรัสบนเซลล์เพาะเลี้ยง เช่นเดียวกับโปลิโอหรือเชื้อพิษสุนัขบ้า และฆ่าทำลายด้วยสารเคมี และทำให้บริสุทธิ์ จากนั้นจึงมาฟอร์มให้เป็นวัคซีน และใส่ตัวเร่งภูมิต้านทาน วัคซีนชนิดนี้จึงคลาคสิกใช้มานาน ส่วนไวรัลเวกเตอร์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ใช้ดีเอ็นเอ ที่มีรหัสพันธุกรรมที่แปลโค้ดเดียวกับรหัสพันธุกรรมส่วนของสไปรท์โปรตีนของโคโรนาไวรัส ใส่ในตัวอะดิโนไวรัสของซินแปมซี เป็นต้น โดยไวรัสนี้ถูกทำหมันแล้ว เมื่อเข้าไปร่างกายก็ไม่เติบโต แต่ขณะเดียวกันจะสร้างโปรตีนคล้ายโคโรนาไวรัสที่เราใส่เข้าไปเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเราเกิดภูมิต้านทาน จริงๆในไวรัลแวกเตอร์ก็ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่เสียทีเดียว เพราะเคยใช้ในอีโบลา

00 เมื่อเชื้อกลายพันธุ์ วัคซีนชนิดเชื้อตายกระตุ้นภูมิน้อยกว่าไวรัล เวกเตอร์

ทั้งนี้ ชนิดเชื้อตายการกระตุ้นภูมิคุ้มกันน้อยกว่าไวรัล เวกเตอร์ เดิมทีซิโนแวค ที่คิดค้นขึ้นมา ต้องยอมรับว่าการกระตุ้นภูมิต้านทานสูงเท่าเทียมหรือสูงกว่าคนที่หายป่วยแล้ว แต่ตอนเริ่มต้นเมื่อใช้วัคซีนชนิดนี้การป้องกันโรคมีประสิทธิภาพสูง แต่ด้วยที่ไวรัสกลายพันธุ์ตลอดเวลา เมื่อไวรัสกลายพันธุ์ทุกขั้นตอน จึงต้องการภูมิต้านทานสูงขึ้น เพราะไวรัสกลายพันธุ์หลบหลีกวัคซีนเชื้อตายได้ง่ายกว่า ดังนั้น ปัจจุบันจากการศึกษาวัคซีนเชื้อตายที่ฉีดครบ 2 เข็ม พบว่าภูมิต้านทานสูงพอกับของคนที่หายจากโรคสายพันธุ์อู่ฮั่นดั้งเดิม แต่เมื่อติดสายพันธุ์อัลฟาหรือเดลตา กลับต้องการภูมิต้านทานสูงขึ้น เรียกว่าสายพันธุ์ใหม่ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง และลดลงทุกตัวที่ผลิตจากสายพันธุ์อู่ฮั่น

ดังนั้น ในทางปฏิบัติจึงต้องมาพิจารณาว่า หากฉีดซิโนแวค 2 เข็มห่างกัน 10 สัปดาห์ เรารู้ว่าไวรัล เวกเตอร์ 2 ครั้งห่างกันน้อยกว่า 6 สัปดาห์ ภูมิต้านทานที่กระตุ้นขึ้นสูงไม่ดีเท่ากับเกิน 6 สัปดาห์ ยิ่งห่างนานยิ่งดี แต่เดิมคิดว่า ไวรัล เวกเตอร์ หรือแอสตร้าฯ เข็มเดียวก็เพียงพอป้องกันไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่นได้ แต่เมื่อเจอเดลตา วัคซีนแอสตร้าฯ เข็มเดียวก็ไม่สามารถป้องกันได้ แต่กว่าจะรอ 2 เข็มต้องใช้เวลา 10 สัปดาห์หรือนานกว่านั้นจึงป้องกันได้

00 ทางออกฉีดวัคซีนสลับชนิดสู้ไวรัสกลายพันธุ์ “ซิโนแวคก่อนตามด้วยแอสตร้า” ภูมิขึ้นในเวลา 6 สัปดาห์

ศ.นพ. ยง กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้จึงต้องหาจุดสมดุลว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนไทยมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นเร็ว เหมาะสมที่สุด ในขณะที่ไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ซึ่งเรารู้ว่าวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ภูมิคุ้มกันไม่พอในการป้องกันเดลตา แต่แอสตร้าฯ เข็มเดียวก็ไม่เพียงพอ จึงเป็นที่มาของการทำการศึกษาว่า เช่นนั้นเราฉีดวัคซีนเชื้อตายก่อน และตามด้วยไวรัลแวกเตอร์ ซึ่งการฉีดวัคซีนเชื้อตายก่อน เปรียบเหมือนให้ร่างกายติดเชื้อ และไปสอนหน่วยความจำของร่างกาย และอีกประมาณ 3-4 สัปดาห์เราค่อยกระตุ้นด้วยไวรัลแวกเตอร์ ที่มีอำนาจในการกระตุ้นภูมิฯได้มากกว่า ผลปรากฏว่าการกระตุ้นได้สูงกว่าที่เราคาดคิด คือ หากให้ซิโนแวคก่อน และตามด้วยแอสตร้าฯ ภูมิฯสูงขึ้นเร็ว แม้จะสูงไม่เท่ากับแอสตร้าฯ 2 เข็ม แต่ได้ภูมิต้านทานที่สูงในเวลาเพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น แทนจะรอไปถึง 12 สัปดาห์

“ขณะนี้คนไข้มากกว่า 40 คนที่ได้ติดตามมา จะเห็นว่ากลุ่มแรกฉีดซิโนแวค 2 เข็ม ภูมิต้านทานจะสูงเท่ากับคนไข้ที่หายแล้ว โดยหลักก็น่าจะป้องกันโรคได้ แต่ด้วยไวรัสกลายพันธุ์ทำให้ภูมิที่เท่ากัน ป้องกันไม่ได้ แต่หากฉีดแอสตร้าฯ 2 เข็ม และวัดภูมิฯ อีก 1 เดือนหลังจากนั้น ห่างกัน 10 อาทิตย์วัดที่ 14 สัปดาห์ภูมิต้านทานจะป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้ แต่ต้องใช้เวลา 14 สัปดาห์ แต่หากเรามาฉีดวัคซีนสลับกัน ด้วยการให้ซิโนแวคเข็มแรก และเข็มสองเป็นแอสตร้าฯ จะเห็นว่าภูมิฯขึ้นมาใกล้เคียงกับแอสตร้าฯ 2 เข็ม จะเห็นว่า หากแอสตร้า 2 เข็มภูมิต้านทานขึ้นมาระดับ 900 แต่หากซิโนแวกและตามด้วยแอสตร้าฯ ภูมิฯอยู่เกือบ 800 ขณะที่หากซิโนแวค 2 เข็มอยู่ที่ประมาณ 100 แต่การติดเชื้อธรรมชาติจนมีภูมิฯอยู่ที่ 70-80 “

“หากสลับชนิดกระตุ้นภูมิขึ้นได้ และมีโอกาสป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้ ขณะเดียวกันการสัมฤทธิ์ผลกระตุ้นภูมิต้านทานเรา จะใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์ แต่หากแอสตร้าฯ 2 เข็มต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 12 สัปดาห์ ต้องใช้เวลายาวนาน 1 เท่าตัว ดังนั้น สถานการณ์การระบาดที่รุนแรง เรารอเวลายาว 12 สัปดาห์ไม่ได้ การฉีดวัคซีนสลับเข็ม และใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์ มีภูมิฯ สูงใกล้เคียงกับการฉีดวัคซีน 12 สัปดาห์ จึงน่าจะเป็นประโยชน์สูงสุดของไทยที่มีการระบาดของโรค ประกอบกับตอนนี้ไทยมีวัคซีน 2 ชนิด คือ ชนิดเชื้อตายและไวรัลแวกเตอร์ จึงเหมาะสม ณ เวลานี้ แต่ในอนาคตหากมีวัคซีนอื่นเข้ามา เราก็จะหาวิธีที่ดีกว่า หรือหากไวรัสกลายพันธุ์มากกว่านี้ ก็ต้องมีวัคซีนที่เฉพาะสายพันธุ์นั้น” ศ.นพ.ยง กล่าว

00 ข้อมูลหมอพร้อมใช้วัคซีนสลับชนิด 1,200 คนมีความปลอดภัย ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องความปลอดภัยจากการสลับวัคซีน เบื้องต้นมีการศึกษาฉีดวัคซีนสลับชนิดในประเทศไทยมากกว่า 1,200 คน โดยที่ฉีดสลับเยอะสุด คือ รพ.จุฬา และที่ลงบันทึกในหมอพร้อม เรื่องอาการข้างเคียงไม่มีใครน 1,200 คนมีอาการรุนแรง จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า การให้วัคซีนสองชนิดนี้มีความปลอดภัยในชีวิตจริง ส่วนการศึกษาของเราก็จะออกมาเช่นกัน ขอให้ผู้ปฏิบัติสบายใจได้ว่า เราไม่ได้ฉีดสลับเป็นคนแรก ทั้งนี้ ข้อมูลการฉีดวัคซีนต่างชนิด อาจเพราะบางคนมีอาการแพ้จากวัคซีนชนิดแรก หรืออาจมีปัจจัยอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เรากำลังทำการศึกษาทางคลินิกบันทึกทุกวัน ซึ่งผลจะออกมาภายในสิ้นเดือนนี้