ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับวัคซีนไฟเซอร์ที่สั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกา 2 ล้านโดสแรก ถึงไทยแล้วเช้านี้ โดยเดือนตุลาคมจะเข้ามาอีก 6 ล้านโดส รวม 8 ล้านโดส และทยอยส่งภายในสิ้นปีนี้จนครบ 30 ล้านโดส มีเป้าหมายฉีดให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปจำนวน 10 ล้านโดส ส่วนที่เหลือจัดสรรสำหรับประชาชนทั่วไป

วันนี้ (29 กันยายน 2564) ที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ  นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค Ms. Deborah Seifert ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไฟเซอร์ ประเทศไทยและอินโดไชนา นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และผู้แทนบริษัท DHL รับวัคซีนไฟเซอร์ 2 ล้านโดสจากสหรัฐอเมริกา โดยนายอนุทิน กล่าวว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่รัฐบาลไทยได้ลงนามสั่งซื้อกับบริษัทจำนวน 2 ล้านโดส ที่เข้ามา เป็นล็อตแรกจากทั้งหมด 30 ล้านโดส ส่งถึงประเทศไทยเช้าวันนี้เวลา 04.35 น.

ด้วยสายการบิน DHL เที่ยวบิน L 350 เป็นการจัดส่งตามกำหนด หลังจากเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 โดยในเดือนกันยายนและตุลาคมจะมีวัคซีนเข้ามารวม 8 ล้านโดส และจะทยอยเข้ามาทุกสัปดาห์จนครบ 30 ล้านโดส หลังจากตรวจสอบคุณภาพและประสิทธิภาพวัคซีนโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และ อย. แล้ว จะเร่งจัดส่งไปพื้นที่ตามแผนของกรมควบคุมโรคโดยเร็วภายในสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ ได้เจรจากับไฟเซอร์จัดหาวัคซีนสำหรับปี 2565 ทำให้ประเทศไทยจะมีวัคซีนทุกเทคโนโลยี ทั้ง mRNA, เชื้อตาย, ไวรัลเวคเตอร์ และหากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทดลองวัคซีนโปรตีนซับยูนิทสำเร็จ ประเทศไทยจะมีวัคซีนครบทุกเทคโนโลยี และเพียงพอในการดูแลประชาชน

นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขณะนี้ไฟเซอร์เป็นวัคซีนชนิดเดียวในประเทศไทยที่สามารถฉีดให้กับเด็กอายุ 12-18 ปีได้ ส่วนวัคซีนอื่นๆอยู่ระหว่างการเตรียมเอกสาร เพื่อให้ผ่านขั้นตอนที่ อย. กำหนด โดยแผนการฉีดวัคซีนเด็กนักเรียนอายุ 12 ปีขึ้นไปประมาณ 5 ล้านคน ได้เตรียมวัคซีนไว้จำนวน 10 ล้านโดส และประสานกระทรวงศึกษาธิการเพื่อจัดบริการฉีดในสถานศึกษาโดยบุคลากรการแพทย์ พร้อมเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์รองรับภาวะฉุกเฉินตามมาตรฐาน ส่วนวัคซีนที่เหลือจะจัดสรรเพื่อฉีดให้กับประชาชนทั่วไป

 “แนวทางการฉีดวัคซีนของประเทศไทยขณะนี้คือซิโนแวคเข็มที่  1 ตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 และในอนาคตจะเป็นแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 1 ตามด้วยไฟเซอร์ เข็มที่ 2 ซึ่งเป็นไปตามมติคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ส่วนในปี 2565 จะเป็นการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ได้มีการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตต่างๆ ไปบ้างแล้ว ยืนยันว่าจะสามารถจัดหาวัคซีนได้เพียงพอสำหรับฉีดให้กับประชาชน”นายอนุทินกล่าว

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org