ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 5 ตุลาคมเห็นชอบในหลักการโครงการจ้างแพทย์ พยาบาลวิชาชีพ และสายงานบริการทางการแพทย์อื่นๆ เพื่อรองรับสถานการณ์โควิด-19 กรอบวงเงิน 4,335 ล้านบาทตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เพื่อเพิ่มบุคลากรในการดูแลรักษาผู้ป่วยของหน่วยบริการทั่วประเทศ รองรับการเข้าถึงบริการทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยโควิด-19 และประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังเป็นการแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในปัจจุบัน โดยในลำดับต่อไปครม.ให้กระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณากำหนดจำนวนกรอบอัตรากำลังที่จะจ้างงานภายใต้โครงการนี้ให้เหมาะสมตามความจำเป็น

นอกจากนี้ครม.ยังเห็นชอบโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งเป็นเรื่องสืบเนื่องที่ครม.เคยเห็นชอบการเยียวยาผู้ปกครองที่จ่ายให้กับเด็กนักเรียนในทุกระดับชั้นคนละ 2,000 บาท ซึ่งประเด็นในวันนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการที่อยู่ภายใต้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะต้องจ่ายเงินเยียวยาดูแลกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กเล็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งก่อนหน้านี้ได้อนุมัติงบประมาณไปแล้ว แต่เพื่อให้ครอบคลุมกับเด็กเล็กทุกคนที่อยู่ภายใต้สังกัดกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ครม.ก็เห็นชอบที่จะอนุมัติวงเงินเพิ่มเติม 1,320 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายเด็กเล็กอีก 660,318 คน ทำให้การดูแลเด็กเล็กเพิ่มเป็น 1.3 ล้านคน และวงเงินเพิ่มเป็น 2,779 ล้านบาท

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบจัดหาวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกา จากประเทศฮังการี จำนวน 400,000 โดส และเห็นชอบรับมอบวัคซีนไฟเซอร์ซึ่งประเทศไอซ์แลนด์บริจาคให้ประเทศไทยจำนวน 100,000 โดส และประเทศเยอรมนีบริจาควัคซีนแอสตราเซเนกาอีกจำนวน 346,100 โดส

นอกจากนี้ครม.รับทราบมาตรการรักษาระดับการจ้างงานในธุกิจเอสเอ็มอี โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินอุดหนุนให้กับนายจ้างภาคเอกชนที่อยู่ในระบบประกันสังคมจำนวน 3,000 บาท ต่อคนต่อเดือนเป็นระยะเวลา 3 เดือน เงื่อนไขคือนายจ้างในระบบประกันสังคมที่มีลูกจ้างสัญชาติไทยไม่เกิน 200 คน มีการส่งมอบเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และจะต้องรักษาการจ้างงานไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 โดยขณะนี้มีสถานประกอบการเอสเอ็มอีที่มีลูกจ้างไม่เกิน 200 คน จำนวน 480,122 กิจการ และมีผู้ประกันตนสัญชาติไทยจำนวน 5,040,176 คน