ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เปิดผลสำรวจค่าโซเดียมในอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรส ปี 64 แนะ ปชช. อ่านฉลากอย่างจริงจังก่อนเลือกซื้อ ชี้ เป็นบ่อเกิดโรค NCDS วอนหน่วยงานและผู้ประกอบการให้ความสำคัญเรื่องความชัดเจนของฉลากและการควบคุมค่าโซเดียม

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม  2564  สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยเครือข่ายลดบริโภคเค็มและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดการแถลงข่าวเรื่อง ภัยเงียบ โซเดียมแอบแฝง ในอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรสบ่อเกิดของโรค NCDs เตือนอ่านฉลากก่อนเลือกบริโภค

โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ข้อ ดังนี้

  • เพื่อให้ผู้บริโภคต้องอ่านฉลากโภชนาการก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์  เพื่อลดการเกิดโรค NCDs 
  • เพื่อให้เกิดการแก้ไขกฎหมายหรือข้อบังคับเพื่อนำไปสู่การลดปริมาณโซเดียมและผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่าย
  • เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ประกอบการลดปริมาณโซเดียม

นายธนพลธ์  ดอกแก้ว  นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อาหารกึ่งสำเร็จรูปเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น เนื่องจากสภาพการดำรงชีวิตในปัจจุบันตกอยู่ในภาวะที่เร่งรีบต้องแข่งกับเวลา ทำให้ไม่มีเวลาในการเตรียมอาหารเพื่อรับประทาน อีกทั้งสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19  ทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปกลายเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะมีขั้นตอนเตรียมไม่ยุ่งยาก ประหยัดเวลา แถมยังมีรสชาดที่อร่อย แม้ว่ารสชาดจะดีอยู่แล้วก็ยังพบว่า มีการปรุงเพิ่ม โดยเฉพาะเครื่องปรุงรสเค็ม เช่น น้ำปลา ซอสถั่วเหลือง ซอสปรุงรสต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งนี้สิ่งที่ต้องควรระวังมากที่สุดคือปริมาณโซเดียมที่แอบแฝงมากับผลิตภัณฑ์ด้วย

นายธนพลธ์ กล่าวต่อว่า อยากจะขอเน้นย้ำให้ผู้บริโภคหันมาอ่านฉลากกันแบบจริงจังก่อนที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ เนื่องจากทุกวันนี้พบว่าคนไทยเป็นโรค NCDs ในจำนวนที่สูงมาก เพราะเหตุนี้จึงได้รวบรวมปัญหาหลาย ๆ ด้านออกมาเป็นข้อเสนอต่อ ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และหน่วยงาน ดังนี้

ข้อเสนอต่อผู้ประกอบกา

  • เพื่อให้ผู้ประกอบการลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร   
  • ให้ผู้ประกอบการจัดทำฉลากให้ผู้บริโภคเห็นชัดเจนและตัดสินใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ง่าย  

ข้อเสนอต่อหน่วยงาน   

  • ให้เกิดการแก้ไขกฎหมายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการลดปริมาณโซเดียมในในผลิตภัณฑ์อาหาร
  • สนับสนุนให้เกิดมาตรการของรัฐเกี่ยวกับการเก็บภาษีโซเดียม เน้นสร้างแรงจูงใจในการปรับสูตรอาหารในทางธุรกิจ   
  • ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผลักดันฉลากสีสัญญาณไฟจราจร เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องการอ่านฉลาก
  • ผลักดันให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุหลักสูตรเรื่องการอ่านฉลากให้กับเด็กตั้งแต่ระดับปฐมศึกษา (สุขภาพดีแต่วัยเด็ก)

นางสาวศศิภาตา  ผาตีบ  ผู้สำรวจและนักวิจัย สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า จากการดำเนินจัดทำโครงการติดตามปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูป เพื่อเป็นการรณรงค์ลดเค็ม ลดโรค ได้ทำการสุ่มสำรวจอ่านฉลากค่าโซเดียมบนผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 400 ตัวอย่าง โดยได้จำแนกออกมาเป็น 2 ประเภทหลักคือกลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูปจำนวน 300 ตัวอย่าง และกลุ่มเครื่องปรุงรส จำนวน 100 ตัวอย่าง โดยได้เริ่มทำการสำรวจมาตั้งแต่ เดือน พฤษภาคม - พฤศจิกายน 2564

จากผลสุ่มสำรวจฉลากโภชนาการในกลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรส ประจำปี 2564 พบว่า ในซองผลิตภัณฑ์ ประกอบไปด้วย ฉลากอาหาร  ฉลากโภชนาการ (แบบเต็มและแบบย่อ) และฉลากโภชนาการแบบ GDA  ที่มีข้อมูลแตกต่างกันไปตามผลิตภัณฑ์ บางผลิตภัณฑ์ข้อมูลในฉลากโภชนาการกับฉลาก GDA นั้นไม่ตรงกัน ทั้งยังพบผลิตภัณฑ์หมดอายุแล้วแต่ยังวางจำหน่วยอีกด้วย

ผลสุ่มสำรวจปริมาณโซเดียมในฉลากโภชนาการกลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูป  จำนวน 300 ตัวอย่าง จำแนกออกเป็น 3 ประเภท  พบว่า มีปริมาณโซเดียมดังนี้ 

  1. ประเภท ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ บะหมี่ เส้นหมี่ และวุ้นเส้น มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 220 – 7,200 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 
  2. ประเภท โจ๊ก ข้าวต้ม มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 0 – 1,420 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
  3. ประเภท  ซุป มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 170 – 810  มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค

ผลสุ่มสำรวจปริมาณโซเดียมในฉลากโภชนาการกลุ่มเครื่องปรุงรส  จำนวน 100 ตัวอย่าง จำแนกออกเป็น 4 ประเภท  พบว่า มีปริมาณโซเดียมดังนี้  

  1. ประเภท ซอส ซีอิ้ว น้ำมันหอย น้ำปลา  มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 130-2,560 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค (ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ)  
  2. ประเภท  น้ำปรุงรส พริกแกง กะปิ  มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 210-1,490 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค (ประมาณ 2 ช้อนชา)
  3. ประเภท ผงปรุงรส  มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 430-1,910 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค (ประมาณ 1 ช้อนชา)  
  4. ประเภท  เนย ชีส  มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 45-280 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค (ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ) 

ด้าน รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ  อาจารย์แพทย์ประจำสาขาวิชาโรคไต คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า คนไทยมีนิสัยติดกินอาหารรสจัด ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ ในอนาคต และปัจจุบันพบว่า สาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลก คือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือกลุ่มโรค NCDs ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ที่น่าเป็นห่วงคือ เด็กและเยาวชนที่ยังมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่ มีขนาดอวัยวะที่เล็กกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะไตและหัวใจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงหากเด็กได้รับโซเดียมจากอาหารที่มากเกินความต้องการติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน 

นอกจากนี้ การมีนิสัยติดกินเค็มตั้งแต่เด็กย่อมมีแนวโน้มที่ลิ้นจะติดเค็มไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งปริมาณโซเดียมโดยเฉลี่ยที่เด็กควรรับประทานอยู่ที่ 3,194 มิลลิกรัม/วัน ส่วนผู้ใหญ่ควรรับประทานโซเดียมเฉลี่ยที่ 3,636 มิลลิกรัม/วัน จึงจะเป็นผลดีต่อร่างกาย

ฉะนั้น การสำรวจปริมาณโซเดียมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรสในครั้งนี้ ถือเป็นเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก และหากมีการผลักดันการเก็บภาษีโซเดียมได้สำเร็จทางผู้ผลิตสามารถปรับสูตรลดเกลือโซเดียม และเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางเลือกโซเดียมต่ำออกสู่ตลาดมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ประเทศฮังการี หากผลิตภัณฑ์อาหารที่มีเกลือโซเดียมไม่เกินเพดานที่กำหนด จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษี เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่าการผลักดันนโยบายสนับสนุนดังกล่าวนั้น จะช่วยให้เกิดประโยชน์ทั้งทางผู้ผลิตและผู้บริโภคทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน ทางผู้บริโภคก็ลดปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค NCDs ซึ่งเมื่อลดการเจ็บป่วยได้ ประเทศก็สามารถช่วยชาติประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาได้อีกด้วย

ด้านนางสาวมลฤดี โพธิ์อินทร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายและยุทธศาสตร์สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวต่อว่า สำหรับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหาร จากผลสรุปการอ่านฉลากโภชนาการและฉลาก GDA ในกลุ่มเครื่องปรุงรส  จำนวน 100 ตัวอย่าง ของสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย นั้นพบว่าฉลากมี 2 ประเภท 

  • ฉลากข้อมูลโภชนาการ ที่บอกข้อมูลต่อ 1 หน่วยบริโภค 
  • ฉลาก GDA บอกข้อมูลต่อ 1 บรรจุภัณฑ์ 

ทำให้ผู้บริโภคเมื่อจะเลือกทานอาหารต้องอ่านฉลากทั้ง 2 ประเภทเพื่อตัดสินใจ นั่นอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดความไม่เข้าใจและสับสนได้  ทั้งทีผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลจากการโฆษณาหรือแสดงฉลากตามความจริง  และมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้อย่างถูกต้องและพอเพียง ไม่หลงผิดในการซื้อสินค้าและบริการโดยไม่เป็นธรรม  

ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาต้องผลักดันนโยบายเรื่องฉลากสีสัญญาณไฟจราจร เขียว เหลือง แดง บนฉลากอาหาร เพื่อเป็นทางเลือกในการตัดสินใจซื้อโดยการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหารที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้บริโภค และสนับสนุนเผยแพร่แอพพลิเคชั่นฟู้ดช้อยส์ (FoodChoice) สแกนก่อนกิน เมื่อสแกนบาร์โค้ดจากผลิตภัณฑ์ ข้อมูลบนฉลากโภชนาการจะถูกแสดงในรูปแบบสีเขียว เหลือง แดงที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ช่วยผู้บริโภคในการตัดสินใจ เปรียบเทียบและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว โดยมีการจัดเรียงข้อมูลผลิตภัณฑ์ตามเกณฑ์ เช่น พลังงาน น้ำตาล โซเดียม ไขมัน ไขมันอิ่มตัว และโปรตีน และเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุหลักสูตรเรื่องการอ่านฉลากให้กับเด็ก จะทำให้เด็กรู้เท่าทันฉลาก เข้าใจฉลาก เพื่อลดภาวะโรคเรื้อรังในเด็ก

ตัวอย่างของโรค NCDs ได้แก่

  • โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคเบาหวาน
  • โรคมะเร็งต่าง ๆ
  • โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง
  • โรคไตเรื้อรัง
  • โรคอ้วนลงพุง
  • โรคตับแข็ง
  • โรคสมองเสื่อม