ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เผยข้อมูลติดโควิดสายพันธุ์ "โอไมครอน" ล่าสุด (1 พ.ย.-29 ธ.ค.64) จำนวน 934 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ 577 ราย และติดเชื้อในประเทศ 357 เฉพาะวันที่ 29 ธ.ค.วันเดียวเพิ่มถึง 194 ราย พบแล้วในทุกเขตสุขภาพทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2564 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนในประเทศไทย ว่า ข้อมูลการตรวจหาสายพันธุ์โควิด-19 โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตั้งแต่เปิดประเทศวันที่ 1 พ.ย.-29 ธ.ค.64 พบการติดเชื้อโอไมครอน สะสม 934 ราย แบ่งเป็นพบในผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ  577 ราย และติดเชื้อในประเทศ 357 ราย เฉพาะวานนี้(29 ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 194 ราย แบ่งเป็นมาจากต่างประเทศ 88 ราย ติดเชื้อในประเทศ 106 ราย ทั้งนี้ พบการติดเชื้อโอไมครอนแล้วในทุกเขตสุขภาพ โดยแนวโน้มพบการติดเชื้อในประเทศเพิ่มมากขึ้นกว่าผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ เนื่องจากการเดินทางเข้าประเทศเริ่มชะลอตัว

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สำหรับการติดเชื้อโอไมครอนในประเทศวันนี้  357 รายนั้น เพิ่มขึ้นมาอีก 1 จังหวัดจากเมื่อวาน 33 จังหวัด คือ จ.เพชรบูรณ์ รวมเป็น 34 จังหวัด อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention ป้องกันตัวเองตลอดเวลา และฉีดวัคซีนป้องกันโควิด เพราะแม้โอไมครอนจะหลบภูมิฯได้ แต่วัคซีนยังช่วยลดความรุนแรงได้เช่นกัน 

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้ข้อมูลในแอฟริกาใต้ว่า โอไมครอนความรุนแรงลดลง และอาจมาแทนที่เดลตา ข้อมูลดังกล่าวจะส่งผลให้คนประมาท ไม่ป้องกันตัวหรือไม่ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า  ประมาทไม่ได้ แม้ข้อมูลที่ออกมาจะไปในทางนั้น อัตราการติดเชื้อนอน รพ.น้อยกว่าเดลตา ภาพรวมก็เห็นชัดว่า ผู้ป่วยหนักลดลง อย่างของไทยเกือบพันรายไม่มีเสียชีวิต มีอาการหนัก 2 คนแต่หายดีแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจว่า ข้อมูลเหล่านี้ต้องใช้เวลา ยังเร็วไป ถ้าจะบอกว่าอันตรายน้อย  สิ่งสำคัญขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการเช่นเดิม พยายามเลี่ยงกิจกรรมเสี่ยงทั้งหลาย และมาฉีดวัคซีนป้องกันโควิด จะช่วยบรรเทาอาการได้ 
 

อย่างไรก็ตาม การสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเกิดขึ้นจาก 2 ทางคือ 1.การฉีดวัคซีน และ 2.ภูมิคุ้มกันที่เกิดหลังจากติดเชื้อ นั่นหมายความว่า หากคนที่รับวัคซีนครบ 2 เข็มเป็นไพรเมอร์รี่วัคซีน(primary vaccine) แล้วเกิดการติดเชื้ออาการก็จะไม่รุนแรง แล้วเมื่อหายก็จะเกิดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติขึ้น ซึ่งก็จะเหมือนกระตุ้นภูมิฯ ในร่างกาย แต่เราจะเอาภูมิฯ ที่เกิดจาก 2 กรณีนี้มาเทียบกันไม่ได้ว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น กับติดเชื้อแล้ว อันไหนจะกระตุ้นภูมิฯ ได้สูงกว่า เพราะผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อื่น ก็ยังสามารถติดโอไมครอนได้ แต่แน่นอนว่าหากรับวัคซีนแล้ว ความรุนแรงของโรคจะลดลง จึงเป็นที่มาว่าทำไมเราถึงขอให้ทุกคนมารับวัคซีน โดยเฉพาะเข็ม 1 และ 2 ส่วนผู้ที่รับครบ 2 เข็มแล้ว เรายืนยันว่าการกระตุ้นภูมิฯ ด้วยวัคซีน ดีกว่ากระตุ้นด้วยการติดเชื้อแน่นอน 

"ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขเตรียมพร้อมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระบบการรักษาต่างๆ โดยเฉพาะการจัดระบบ Home Isolation (HI) และ Community Isolation(CI)   โดยเรามีประสบการณ์จากครั้งก่อน ครั้งนี้จะมีระบบติดตามแยกคนติดเชื้อออกจากคนป่วย ใครติดเชื้อไม่มีอาการให้อยู่ HI ถ้าไม่สามารถอยู่ได้ให้เข้า CI โดยจะมีระบบคอยมอนิเตอร์อาการ หากมีอาการมากขึ้นนำส่งรพ.ทันที" นพ.ศุภกิจ กล่าว

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org