ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ความเหมือนและแตกต่างของ “ยาแพกซ์โลวิด”  และ “ยาโมลนูพิราเวียร์” รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ด้านผู้เชี่ยวชาญเตรียมออกแนวทางเวชปฏิบัติการรักษาผู้ป่วยโควิดฉบับใหม่เร็วๆนี้

 

หลังจากกรมการแพทย์ได้ร่วมกับบริษัท ไฟเซอร์ฯ ทำการลงนามในสัญญา "ยาแพกซ์โลวิด" 5 หมื่นคอร์สการรักษา หรือรักษาในผู้ป่วย 5 หมื่นคน พร้อมให้องค์การเภสัชกรรมจัดเก็บและกระจายยา เพื่อใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีภาวะเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง ช่วยลดการนอนโรงพยาบาลและการเสียชีวิต รองรับสถานการณ์ช่วงหลังสงกรานต์ที่อาจมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นนั้น

เมื่อวันที่ 14 เม.ย.2565 พญ.เปี่ยมลาภ แสงสายัณห์ หัวหน้ากลุ่มงานอายุรศาสตร์ปอด สถาบันโรคทรวงอก  ให้ข้อมูลถึงยาแพกซ์โลวิด ซึ่งเป็นยาเม็ดรับประทาน ว่า สำหรับยาดังกล่าวในแนวทางเวชปฏิบัติฯ สำหรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จะให้แก่คนไข้ที่มีโรคร่วม และร่วมกับมีประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดไม่ครบ 3 เข็ม เนื่องจากหลักการเมื่อได้รับวัคซีนแล้วจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันป้องกันโควิด ทำให้การติดเชื้อต่ำลง  ซึ่งหากไม่ได้รับครบ 3 เข็ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่รับวัคซีนไม่ครบจะเสี่ยง และควรได้รับยาตัวนี้ตามข้อบ่งชี้ แต่หากใครรับประทานยาบางตัวก็จะไม่สามารถรับยาตัวนี้ได้  ซึ่งกรณีนี้แพทย์จะทราบว่า จะจ่ายยาอย่างไร

พญ.เปี่ยมลาภ กล่าวอีกว่า ยาตัวนี้ใช้ในกลุ่มอาการรุนแรงไม่ได้ เพราะเวลาอาการรุนแรง ปอดอักเสบ จะเกิดหลังไวรัสเข้าไปแล้ว 5-10 วันขึ้นไป ซึ่งยาฆ่าเชื้อไวรัสต้องเน้นเร็ว เหมือนยาฟาวิพิราเวียร์มีประโยชน์ลดอาการ อย่างเจ็บคอ ให้เร็วลดอาการทันที ซึ่งตัวไวรัสจะเพิ่มมากที่สุดในช่วงเริ่มมีอาการต้นๆ ส่วนปอดอักเสบจะเกิด 5-10 วันขึ้นไป ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายเราหลั่งสารอักเสบออกมาโต้ตอบกับเชื้อไวรัส ตัวสารอักเสบเป็นตัวปัญหาทำลายปอด ดังนั้น การทานยาต้านไวรัส ไม่ได้ประโยชน์ช่วยลดปอดอักเสบ การทานยาต้านไวรัสจึงไม่ได้ประโยชน์ เพราะตอนนั้นไวรัสเริ่มลดแล้ว เพียงแต่ร่างกายเราโต้ตอบกับการอักเสบ ทำให้เกิดการอักเสบ ปอดอักเสบเพิ่มขึ้นๆ จนรุนแรง

“เมื่อปอดอักเสบแล้ว ในเรื่องการรักษาจะมียาลดการอักเสบตามมาตรฐานการรักษา เป็นไปข้อบ่งชี้การรักษา ซึ่งเรามีผู้เชี่ยวชาญพิจารณาเรื่องนี้ และจะมีการปรับแนวทางเวชปฏิบัติใหม่เป็นฉบับปรับปรุงที่ 22 ซึ่งจะออกมาในเร็วๆนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ฉบับ 21 ซึ่งออกมาเมื่อวันที่ 22 มี.ค.2565 ที่ผ่านมา โดยเรามีการปรับตลอดเวลา” พญ.เปี่ยมลาภ กล่าว

สำหรับยาโมลนูพิราเวียร์ และยาแพกซ์โลวิด มีความแตกต่างกันอย่างไร ... พญ.เปี่ยมลาภ กล่าวว่า  ข้อบ่งชี้เหมือนกัน เป็นแอนตี้ไวรัสต้องให้เร็วภายใน 5 วัน โดยกำหนดว่า ต้องเป็นกลุ่มเสี่ยง อย่างไม่ได้รับวัคซีน หรือรับไม่ครบโดส โดยเฉพาะกลุ่มอายุมาก โรคประจำตัว และหลายๆปัจจัย แต่บางเคสเป็นผู้ป่วยที่รับประทานยาบางชนิดที่กินยาแพกซ์โลวิดไม่ได้ ก็ต้องไปทานยาโมลนูพิราเวียร์ ทั้งนี้ ข้อบ่งชี้ในงานวิจัยที่เหมือนกันคือ ทั้งคู่ใช้ในรายที่มีอาการไม่รุนแรง ปอดอักเสบไม่เยอะ  

 

(ข่าวเกี่ยวข้อง : เปิดข้อเปรียบเทียบ "ยาโควิด-19 ในไทย" พร้อมค่าใช้จ่ายยาแต่ละชนิด(ผู้ป่วยไม่ต้องจ่าย) )

 

ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวย้ำว่า ยาตัวนี้เมื่อรับมอบเสร็จ และจะกระจายส่งตามรพ.ใหญ่ๆ แต่ให้ทางผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ เป็นผู้พิจารณาตามเขตเอง ซึ่งหลักการไม่ได้ให้ทุกคน อยู่ที่การพิจารณาของแพทย์ ซึ่งยาตัวนี้จะให้เฉพาะกลุ่มที่มีอาการเล็กน้อย หรือเริ่มมีอาการถึงปานกลาง

ทั้งนี้ ยาแพกซ์โลวิดเป็นยาต้านไวรัสชนิดเม็ด ออกฤทธิ์โดยยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (protease) ทำให้เชื้อไวรัสโควิดไม่สามารถสร้างโปรตีนที่จำเป็นต้องใช้ในการเพิ่มจำนวนได้ ยานี้ประกอบด้วย ยา Nirmatrelvir (150 มก.) จำนวน 2 เม็ด และยา Ritonavir (100 มก.) จำนวน 1 เม็ด  รับประทานวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน (ใช้ Nirmatrelvir 20 เม็ด และ Ritonavir 10 เม็ด/คน กลุ่มที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง คือ สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม ผู้ที่การทำงานของตับหรือไตบกพร่อง รวมถึงผู้ที่ใช้ยาบางชนิด

 

(ข่าวเกี่ยวข้อง : สธ.รับมอบ "ยาแพกซ์โลวิด" 5 หมื่นคอร์สจากบริษัทผู้ผลิต รองรับการรักษาผู้ป่วยโควิดช่วงหลังสงกรานต์)

ยาแพกซ์โลวิด (ภาพจากกรมการแพทย์)

ยาโมลนูพิราเวียร์ (ภาพจากกรมการแพทย์)

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org